[Review] Hidden Strike [2023] Hidden Strike ภาพยนตร์ Action Comedy ผลงานร่วมทุนสร้างของจีนและอเมริกา โดยหนังเรื่องนี้มีกำหนดเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และ สหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศอื่นเข้าฉายทาง Netflix เท่านั้น เขียนบทโดย Arash Amel กำกับโดย Scott Waugh Jakie Chan / เฉินหลง (จากภาพยนตร์ชุด Police Story และ Rush Hour) รับบทเป็น “Dragon” Luo Feng John Cena (จากภาพยนตร์เรื่อง F9: The Fast Saga, the Suicide Squad และซีรีส์เรื่อง Pacemaker) รับบทเป็น Chris Van Home Ma Chunrui (จากภาพยนตร์เรื่อง The Fate of Swordsman และซีรีส์เรื่อง Lost Love in Times) รับบทเป็น Luo Mei Wenli Jiang (จากภาพยนตร์เรื่อง The Final Master) รับบทเป็น Professor Cheng Jia Xu (จากซีรีส์เรื่อง Reborn) รับบทเป็น Shen Wei Jun Gong (จากซีรีส์เรื่อง Word of Hornor) รับบทเป็น Hai Ming Ruma Xidan (จากภาพยนตร์เรื่อง Missing Johnny) รับบทเป็น Li Yan Neo Hou / Minghao Hou (จากซีรีส์เรื่อง When We Were Young) รับบทเป็น Assistant Ning Amadeus Serafini (จากซีรีส์เรื่อง Scream: The TV Series) รับบทเป็น Henry Van Home Pilou Asbæk (จากภาพยนตร์เรื่อง Ghost in the Shell และ Overlord) รับบทเป็น Owen Paddock รับชมได้ทาง Netflix เรื่องราวของ มังกรหลัว ที่นำทีมกองกำลังพิเศษของเขามาดำเนินการช่วยเหลือและอพยพพนักงานทั้งหมดของบริษัท Yutime Oil บริษัทสัญชาติจีนที่เป็นโรงกลั่นน้ำมันที่ตั้งอยู่ในประเทศอิรัก ไปยังกรีนโซนซึ่งเป็นเขตพื้นที่ที่ปลอดภัย เนื่องจากโรงกลั่นแห่งนี้ถูกลอบโจมตีจากทหารรับจ้างที่นำทีมโดย โอเวน แพดด็อก อีกด้านหนึ่ง คริส แวน โฮม ก็ได้รับการติดต่อจาก เฮนรี่ น้องชายของเขาให้นำทีมในการลักพาตัว ด็อกเตอร์เฉิง ผอ.ของ Yutime Oil ในช่วงที่พวกเขากำลังอพยพ แต่แล้วสุดท้ายก็มีเหตุให้ทั้ง มังกรหลัว และ คริส ต้องหันมาร่วมมือกันเพื่อปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จลุล่วงให้ได้ เป็นหนังอีก 1 เรื่องของ เฉินหลง ที่แสดงให้เห็นถึงความโรยราของเขา เพราะตลอดทั้งเรื่องหนังพยายามที่จะใส่ฉากแอ็คชั่นตลกแนวคู่หูโลดโผนตามสไตล์เดิมเหมือนอย่างที่เคยทำในหนังตระกูล Rush Hour และหนังตระกูล Shanghai Noon / Shanghai Knights แต่ด้วยอายุอานามที่ปาเข้าไปจะ 70 ปีอยู่แล้ว ก็แน่นอนล่ะว่าความคล่องตัวก็ต้องลดน้อยถอยลงไปด้วยตามอายุ แต่ที่แย่หน่อยคือมุมกล้องในหลายๆ ฉากที่หลบได้ไม่ค่อยจะเนียนเท่าไหร่ ทำให้มองออกว่าเป็นการใช้สตันท์แมนช่วย ในส่วนของบทตลกคู่หูระหว่าง จอห์น ซีน่า กับ เฉินหลง ก็ดูเคมีจะไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่ ต่างจากหนัง 2 เรื่องที่ว่าไปในช่วงต้น ที่จะเห็นได้ว่าเคมีของ เฉินหลง กับ คริส ทักเกอร์ และ เฉินหลง กับ โอเวน วิลสัน แลดูเข้ากันและลงตัวกว่ากันมากนัก และสิ่งหนึ่งที่แลดูจะไม่เข้ากันมากที่สุดก็คือบุคลิกนิสัยทั้งตัวละคร มังกรหลัว ของ เฉินหลง และคริส ของ จอห์น ซีน่า เพราะในทุกๆ ฉาก ที่ทั้ง 2 ตัวละครนี้ไม่ได้เข้าฉากกัน จะมีบุคลิกที่เคร่งขรึม มีความเป็นผู้นำ แต่พอตัวละครทั้ง 2 ตัวมาเจอกัน กลับทำตัวเป็นเด็กๆ เป็นตัวโจ๊กเสิร์ฟความฮาให้กับคนดู ระหว่างดูจึงทำให้เกิดความงงๆ หน่อยว่า ตกลงพวกคุณเป็นคนแบบไหนกันแน่ ดังนั้นเมื่อองค์ประกอบหลักของเรื่องทำงานได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก มันจึงส่งผลให้องค์รวมของหนังดูจืดชืดไปด้วย หนำซ้ำภารกิจที่ทั้ง 2 ต้องเข้าไปช่วยเหลือตัวประกันจากกลุ่มวายร้าย ก็ดูด็อกด๋อยยังไงไม่รู้ อีกทั้งในส่วนของดราม่าพ่อ-ลูกที่หนังพยายามใส่มาตั้งแต่ช่วงต้นและมีสอดแทรกตลอดทั้งเรื่อง ก็ดูจะทำงานได้ไม่เต็มที่เหมือนไม่ได้ตั้งใจใส่มายังไงก็ไม่รู้ เพราะในบางจังหวะที่กำลังจะดึงดราม่าจู่ๆ ก็เปลี่ยนอารมณ์กลับมาที่แอ็คชั่นตลกเหมือนเดิม เหมือนผู้กำกับจะนึกขึ้นได้ว่า “เฮ้ย!! หนังตรูต้องเป็นแอ็คชั่นตลกนะจะดึงดราม่าทำไม“ สิ่งที่ดีงามที่สุดของเรื่องนี้คือ Chunrui Ma คือสวยน่ารักมาก เห็นแล้วหลงรักเลย แม้บทจะไม่ได้ส่งอะไรมากนัก แต่แค่เห็นหน้างามๆ ของน้องก็ทำให้ใจหวั่นไหวแล้วฮะ สรุป > ให้ไป 6.5 เต็ม 10 นะฮะ ใครที่คิดถึงหนังแอ็คชั่นฮาสไตล์เฉินหลงน่าจะชอบอยู่บ้างนะฮะ แต่อย่าคาดหวังว่าจะมันส์เหมือนหนังช่วงยุค 90 ถึงต้น 2000 นะฮะ ท้ายนี้ ก็ขอฝากเพจไว้ด้วยเช่นเคย คลิกกันเข้าไปอ่านเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมกันได้เลยฮะ ขอบคุณภาพจาก : เว็บไซต์ Netflix, เฟซบุ๊ก T&B Media Global Thailand
แสดงความคิดเห็น