5 เทคนิคตั้งคำถามที่ดี เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง จากหนังสือพลังแห่งการตั้งคำถาม ลองคิดถึงคำถามประเภทว่า ‘เราควรแต่งงานอายุเท่าไหร่’ ‘เราควรเข้าทำงานที่บริษัทใหญ่มั้ย’ ‘เราต้องแต่งตัวยังไง เพื่อให้ดูทำงานเก่ง’ คำถามพวกนี้ล้วนไม่มีคำตอบตายตัว ทั้งหมดทั้งมวลขึ้นกับ แต่ละบุคคล และขึ้นกับสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งสิ้น หรือแม้แต่โลกวิทยาศาสตร์เองก็ไม่ได้มีคำตอบที่ถูกต้องเสมอไป เพราะเราตั้งสมมุติฐานต่าง ๆ ขึ้นมามากมาย เวลาเราจะตอบคำตอบ เราก็ต้องอ้างอิงกับสมมุติฐานเหล่านั้น แต่ถ้าสมมุติฐานที่เราตั้งขึ้นมาเกิดผิดละ เราก็ต้องตั้งสมมุติฐานใหม่ เพื่อพยายามหาคำอธิบายใหม่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง และนี่เป็นอีกสาเหตุที่การตั้งคำถามที่ดี จะนำมาซึ่งคำตอบที่ดีได้ เพราะแค่ตั้งคำถามใหม่ การหาคำตอบอันไม่ตายตัวแบบใหม่ เพื่อตอบคำถามก็จะเกิดขึ้น ข้อแตกต่างระหว่าง ข้อสงสัยและปัญหาคือ ข้อสงสัย = ทักษะการใช้ความรู้สึก ในการรับรู้ถึงความคลุมเครือ และความผิดปกติ ปัญหา = ทักษะการใช้เหตุผล ในการคิดหาคำถามที่เชื่อมโยงไปสู่การหาคำตอบที่ชัดเจน สิ่งสำคัญจึงเป็น การใช้ความรู้สึกตัวเองรับรู้สิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในใจเรา โดยการยอมรับแบบตรงไปตรงมา การรู้เท่าทันตัวเองในขั้นถัดมาช่วยให้เรามองเห็นปัญหา แล้วค่อย ๆ เชื่อมโยงปัญหาดังกล่าว เข้ากับวิธีการว่า เราควรทำอย่างไรเพื่อหาคำตอบ โดยใช้หลักเหตุผล ประเภทที่ 1 : คนที่ไม่เคยตั้งคำถาม ประเภทที่ 2 : คนที่ตั้งคำถามได้ไม่ดี ประเภทที่ 3 : คนที่ตั้งคำถามได้ดี สิ่งที่แตกต่างอย่างเด่นชัดของคนที่รู้จักตั้งคำถาม กับคนไม่เคยตั้งคำถามเลย คือ 1. การแก้ปัญหา – การตั้งคำถามนำมาซึ่งการจัดการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม และสร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้ 2. การเข้าความรู้สึกของตัวเอง – ว่าเราชอบทำแบบนี้ หรือคิดแบบนั้น 3. การตั้งคำถามนำมาซึ่งความคิดสร้างสรรค์ – และช่วยให้เราได้ใช้ชีวิตอย่างมีอิสระตามใจตัวเราเอง ถ้าเราไม่เคยตั้งคำถามกับเรื่องอะไรเลย เราก็จะใช้ชีวิตตามกฎเกณฑ์ที่คนอื่นตั้งไว้ ไม่สามารถมีชีวิตเป็นของตัวเองได้ ส่วนความแตกต่างระหว่างการตั้งคำถามที่ดี และไม่ดี คือ การกำจัดความคลุมเครือ และการสร้างผลลัพธ์ได้ชัดเจน และไม่ใช่เพียงครั้งคราว คำถามที่ไม่ดี เช่น “ต้องนอนกี่ชั่วโมงถึงจะดี” “อาหารสมองที่ดีคืออะไร” “ควรเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตอนอายุเท่าไหร่” “ควรตื่นมาอ่านหนังสือตอน 8 โมงเช้าดีรึเปล่า” คำถามพวกนี้คือคำถามที่ไม่ดี เพราะขาดบริบท และขาดการตั้งสมมุติฐาน เช่น คำถามเรื่องตื่นมาอ่านหนังสือตอน 8 โมงดีรึเปล่า ถ้าเราเข้านอนตอน ตี 5 คำตอบก็คงจะเป็น ไม่ดี หรือถ้าเราอยู่ในประเทศเขตหนาว 8 โมงเช้า ฟ้ายังมืดอยู่เลย เหมือนเรามองต้นไม้ที่อยู่ในพื้นที่โล่ง ไม่มีป่าล้อมรอบ เราจึงต้องหัดมองต้นไม้โดยมองป่าที่ล้อมรอบอยู่ด้วย นั่นคือการมองบริบทโดยรอบด้วยนั่นแอง โดยสรุปแล้วคำถามที่ไม่ดีล้วนมีลักษณะดังต่อไปนี้ 1. ต้องการคำตอบที่ถูกต้องแน่นอน 2. ขอให้ช่วยแนะนำสิ่งดี ๆ 3. ต้องการให้อีกฝ่ายเห็นด้วย 4. คาดคั้นอีกฝ่าย 5. ให้เลือกอย่างใด อย่างหนึ่ง 1. เวลา - คำว่า “ตอนนี้” มีความสำคัญมาก เช่น “ปัญหานี้ ตอนนี้เราควรรีบทำอะไรมากที่สุด” หรือ “ตอนนี้สิ่งที่ตัวเองทำได้ดีที่สุดคืออะไร” 2. จุดมุ่งหมาย - คำว่า “อยากทำอะไร” เป็นการตั้งคำถามโดยให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายที่เรามี เป็นเหมือนเข็มทิศนำทางเราไปสู่การหาคำตอบ เช่น “ตอนนี้เราอยากทำอะไรมากที่สุด” 3. วิธีการ - คำว่า “ควรทำอย่างไร” เป็นการตั้งคำถามที่นำมาซึ่งการลงมือทำในขั้นถัดไป เช่น “สถานการณ์ตอนนี้ เราควรทำอย่างไรถึงจะแก้ปัญหาได้เร็วที่สุด” 4. เติมคำว่า “สักนิด” ต่อท้าย เช่น “ต้องทำยังไง ถึงจะเติบโตอีกสักนิด” “ต้องทำยังไง ความสัมพันธ์กับผู้อื่นถึงจะดีขึ้นอีกสักนิด” สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณ สำนักพิมพ์วีเลิร์น ที่ส่งหนังสือดี ๆ มาให้อ่านนะครับ ผู้เขียน : เคนอิจิโร่ โมจิ ผู้แปล : ปาวัน การสมใจ จำนวนหน้า : 232 หน้า สำนักพิมพ์ : Welearn แนะนำสั่งซื้อหนังสือ พลังแห่งการตั้งคำถาม ได้ที่ร้าน Attorney285
แสดงความคิดเห็น