"ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy theory)" เมื่อพูดถึง "ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy theory)" หลายคนก็อาจจะนึกถึงทฤษฎีที่ดูแปลกประหลาดหลายๆ อย่าง ทฤษฎีสมคบคิดเหล่านี้ล้วนแต่สะท้อนถึงแนวคิดและพฤติกรรมของสังคม และหลายๆ ทฤษฎีก็มีคนเชื่อเป็นจำนวนมาก เราลองมาดูเรื่องราวของทฤษฎีสมคบคิดกันครับ อันที่จริง ทฤษฎีสมคบคิดนั้นอยู่คู่กับประวัติศาสตร์มนุษย์มาเป็นเวลานานแล้ว โดยในสมัยโบราณ ก็มีเรื่องราวตำนานเทพเจ้าและสัตว์ประหลาดต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ธรรมชาติ ตำนานเหล่านี้มาจากความพยายามของมนุษย์ที่จะหาเหตุผลมาอธิบายถึงปรากฏการณ์ที่ดูน่ากลัว เช่น ฟ้าผ่าหรือแผ่นดินไหว ซึ่งถึงแม้จะไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิดตามนิยามของปัจจุบัน แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์มีความพยายามจะหาเหตุผลมาอธิบายสิ่งต่างๆ รอบตัวตั้งแต่โบราณ หนึ่งในทฤษฎีสมคบคิดที่โด่งดังก็คือเรื่องของโศกนาฏกรรมเรือ “ไททานิก (Titanic)” มีบางคนกล่าวอ้างว่าการอับปางของเรือไททานิกนั้นไม่ใช่อุบัติเหตุ หากแต่เป็นการวางแผนที่มีการเตรียมการมาเป็นอย่างดี คนกลุ่มนี้เชื่อว่านักธุรกิจที่ทรงอิทธิพลหลายคนได้วางแผนจะให้เรือจมเพื่อเอาเงินประกันหรือเพื่อกำจัดคู่แข่งของตน ถึงแม้ว่าหลักฐานต่างๆ จะชี้ชัดว่าไททานิกจมเพราะชนกับภูเขาน้ำแข็งก็ตาม อีกหนึ่งทฤษฎีสมคบคิดที่โด่งดังก็คือเรื่องการสำรวจดวงจันทร์ของนาซ่า (NASA) เมื่อปีค.ศ.1969 (พ.ศ.2512) ถึงแม้จะมีเอกสารหลักฐานต่างๆ รวมทั้งการยอมรับจากทั่วโลก แต่ผู้ที่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิดบางคนก็เชื่อว่านี่เป็นการหลอกลวงของนาซ่า พวกเขาเชื่อว่ารัฐบาลอเมริกันได้จัดฉากขึ้นมาเพื่อให้สหรัฐอเมริกาได้รับชัยชนะในการแข่งขันทางอวกาศกับสหภาพโซเวียต โดยมีการถ่ายทำด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และให้บุคลากรในโครงการนี้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แต่ถึงแม้ผู้เชี่ยวชาญและหลายๆ คนจะยืนยันหลายครั้งว่าเรื่องนี้เป็นเพียงทฤษฎีสมคบคิด หากแต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่เชื่อเรื่องนี้มาตลอด ในยุคสมัยปัจจุบัน ทฤษฎีสมคบคิดนั้นแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วและมีความหลากหลายกว่าแต่ก่อน มีทั้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลก วัคซีน หรือเรื่องของการเมือง เป็นต้น การเบ่งบานของโซเชียลมีเดียและอินเตอร์เน็ต ทำให้ทฤษฎีสมคบคิดเหล่านี้แพร่กระจายไปได้เร็วกว่าเดิม และเข้าถึงคนหมู่มากได้อย่างง่ายดาย สำหรับจิตวิทยาที่อยู่เบื้องหลังความเชื่อเรื่องทฤษฎีสมคบคิด เหตุผลที่ผู้คนจำนวนมากเชื่อถือ หนึ่งในเหตุผลหลักก็คือธรรมชาติของมนุษย์ ตามธรรมชาตินั้น มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มักจะมองหาแบบแผน มักจะมองหาความเชื่อมโยงและเหตุผลเบื้องหลังปรากฏการณ์ต่างๆ เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ดูจะซับซ้อนเกินไปที่จะเข้าใจ ผู้คนก็มักจะมองหาคำอธิบายที่ดูจะเป็นไปได้ ถึงแม้ว่าเหตุผลนั้นจะไม่จริงก็ตาม ทฤษฎีสมคบคิดมักจะมีเหตุผลอธิบายเหตุการณ์เหล่านี้อย่างตรงไปตรงมา ทำให้ผู้คนเข้าใจในธรรมชาติของโลก ทำใหัรู้สึกเสมือนรู้แจ้ง เหตุผลทางจิตวิทยาอีกอย่างหนึ่งก็คือการรู้สึกพิเศษ เหนือผู้อื่น การเชื่อทฤษฎีสมคบคิดก็เปรียบเสมือนการรับรู้ความลับที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ ทำให้รู้สึกว่าตนเป็นคนสำคัญ เป็นคนพิเศษ การเชื่อในทฤษฎีสมคบคิดก็เหมือนการเป็นสมาชิกชมรมพิเศษที่มีคนไม่กี่คนที่มีสิทธิเข้าร่วม การที่โลกมักจะเกิดเหตุการณ์ที่น่าสยองหรือหดหู่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก ดังนั้นการเชื่อว่าโลกถูกปกครองโดยองค์กรลับที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวเหล่านี้ก็ทำให้ผู้ที่เชื่อรู้สึกดีขึ้น เหมือนหาเหตุผลที่แท้จริงได้ และยังมีหลักการที่เรียกว่า “ความเอนเอียงเพื่อยืนยัน (Confirmation Bias)” ซึ่งก็คือการที่เราเลือกจะเชื่อในข้อมูลที่สนับสนุนความเชื่อของเรา และเลือกที่จะเพิกเฉยในข้อมูลที่ขัดแย้ง หากเราอยู่ในกลุ่มที่เชื่อถือในทฤษฎีสมคบคิด เราก็จะเชื่อในทฤษฎีสมคบคิดไปด้วย เราก็จะหาหลักฐานมาสนับสนุนทฤษฎีเหล่านี้จนได้ และเลือกที่จะปฏิเสธความจริงที่ขัดกับความเชื่อของเรา หลักการ “น้ำตกข้อมูล (Information Cascade)” คือหลักการที่สำคัญ เป็นผลต่อเนื่องเมื่อแนวคิดหรือความเชื่อ ซึ่งในกรณีนี้ก็คือทฤษฎีสมคบคิด มีการส่งต่อทฤษฎีสมคบคิดนี้จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง อาจจะเริ่มจากบุคคลที่น่าเชื่อถือที่สุดในกลุ่ม ก่อนจะส่งต่อไปยังคนอื่นๆ เป็นทอดๆ โดยในยุคของโซเชียลมีเดีย น้ำตกข้อมูลนี้ก็สามารถเข้าถึงผู้คนหลักพันหรืออาจจะหลักล้านได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที และสำหรับบางคน การแบ่งปันเรื่องราวของทฤษฎีสมคบคิดออกไปเป็นสิ่งที่ทำให้ดูคูล ทำให้ดูโดดเด่น ทำให้ดูเหมือนผู้ที่เรืองปัญญา โซเชียลมีเดียทำให้ทฤษฎีสมคบคิดกระจายออกไปได้ง่าย เหมือนการราดน้ำมันลงบนกองไฟ ทฤษฎีสมคบคิดอาจจะเกิดขึ้นในเว็บซักเว็บหนึ่ง ก่อนจะกระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว อาจจะเริ่มจากมีคนแชร์เรื่องราวหนึ่ง ก่อนที่เพื่อนของคนคนนั้นจะแชร์ต่อๆ กันไปเรื่อยๆ ซึ่งนี่ก็คือการแพร่กระจายของทฤษฎีสมคบคิด นอกจากนั้น โซเชียลมีเดียยังมีสิ่งที่เรียกว่า “อัลกอริทึม (Algorithm)” ซึ่งจะเป็นระบบที่ช่วยเลือกสิ่งที่เราจะได้เห็น โดยดูจากสิ่งที่เรากดไลค์หรือกดแชร์ หากเราสนใจในเรื่องของทฤษฎีสมคบคิด อัลกอริทึมก็อาจจะนำเสนอให้เราเห็นเรื่องราวของทฤษฎีสมคบคิดมากขึ้น ทำให้ดูเหมือนมีคนหลายคนเชื่อในทฤษฎีสมคบคิดเช่นกันทั้งๆ ที่ความจริงอาจจะไม่ใช่เช่นนั้นก็ตาม ด้วยโลกอินเตอร์เน็ต ทำให้ผู้คนสามารถพบเจอกับคนที่เชื่อในสิ่งเดียวกันได้ ถึงแม้ว่าความเชื่อนั้นจะไม่น่าเชื่อก็ตาม ซึ่งนี่ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการที่โลกอินเตอร์เน็ตช่วยทำให้ทฤษฎีสมคบคิดนี้แพร่กระจายออกไป สำหรับอีกตัวอย่างหนึ่งที่โซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญในการแพร่กระจายทฤษฎีสมคบคิด ก็คือในยุค 2010 (พ.ศ.2553-2562) เมื่อมีการกระจายข้อมูล “ทฤษฎีโลกแบน” ถึงแม้ที่ผ่านมา จะมีหลักฐานและชุดความรู้จำนวนมากว่าโลกนั้นกลม แต่ชุมชนออนไลน์หลายๆ แห่งก็ได้บอกว่าอันที่จริงนั้น โลกมีลักษณะแบน โซเชียลมีเดียหลายแห่งได้ช่วยแพร่กระจายความเชื่อนี้ออกไป ทำให้บทความและคลิปวีดีโอจำนวนมากเผยแพร่เข้าสู่ผู้คนนับล้านทั่วโลก อาจจะสรุปได้ว่าการจะศึกษาเรื่องราวของทฤษฎีสมคบคิดนั้นทำได้ เพียงแต่ต้องใช้วิจารณญาณอย่างสูง ต้องศึกษาข้อมูลและพิจารณาอย่างถี่ถ้วน หาความเป็นเหตุเป็นผลโดยไม่เอนเอียงไปทิศทางใดทิศทางหนึ่ง หากแต่ควรตั้งอยู่บนเหตุผลและหลักฐาน https://medium.com/lessons-from-history/how-conspiracy-theories-spread-and-why-e15686c9826d https://academic.oup.com/book/25369/chapter-abstract/192463700?redirectedFrom=fulltext https://www.livescience.com/why-people-believe-conspiracy-theories https://www.washingtonpost.com/politics/2022/05/18/buffalo-shooting-great-replacement-qanon/
แสดงความคิดเห็น