เที่ยวจีน พาตะลุยเซินเจิ้น เมืองแห่งอนาคต พร้อมจุดเช็กอินไม่ควรพลาด

          มาเที่ยวจีนฉลองฟรีวีซ่ากันเร้ววว

          ยุคนี้ใคร ๆ เขาก็รู้กันหมดแล้วว่าเที่ยวแดนมังกรนั้นไม่ยากเหมือนเมื่อก่อน ด้วยระบบเทคโนโลยี การคมนาคมที่พัฒนาแบบก้าวกระโดด ทำให้พี่จีนกลายเป็นประเทศแรก ๆ ในเอเชียที่เราเลือกเดินทาง สำหรับใครที่อยากเปิดประสบการณ์การเที่ยวจีน อยากเห็นความเจริญหูเจริญตาของบ้านเมือง ชื่นชมกับประชาชนจีนยุคใหม่ เราขอแนะนำให้จัดทริปสัก 4 วันมาตะลุย ‘เซินเจิ้น’ อดีตเมืองค้าปลีกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ของโลก ก่อนถูกเปลี่ยนเป็นเมืองสุดล้ำที่เต็มไปด้วยจุดเช็กอินแสนอลัง ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะพื้นที่ใหญ่โตหลายแห่งทำหน้าที่ปอดในเมือง เป็นทั้งแหล่งพักใจ ใช้ออกกำลังกายของผู้คน ชอปปิงสตรีตสุดมันส์กับสินค้าที่ตอบโจทย์ทุกความชอบ แวะเช็กอินร้านหนังสือทะลุมิติที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดของจีน เดินทางสู่ชานเมืองไปยังหมู่บ้านศิลปะ ที่เน้นงานภาพสีน้ำมัน ที่คอยแต่งแต้มเมืองให้ดูมีชีวิตชีวาอยู่มิคลาย ชมงานอาร์ตเก๋ ๆ ในสถาปัตยกรรมเท่ ๆ ก่อนชวนเพื่อนสาวไปซี้ดซ้าดกันที่ร้านหม่าล่าหม้อไฟยอดนิยม พร้อมการเดินทางที่แสนง่ายดายด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินที่ปักหมุดลงได้แทบทุกโลเคชันที่เราไป

          รีบแพลนรีบจองแล้วบินไปกับแอร์เอเชียได้เลยที่ : www.airasia.com

1. 1 มีนาคม 2024 นี้ คนไทยเที่ยวจีนฟรีวีซ่าแล้วน้าาา
2. โหลด App Alipay และพกเงินสดแบงค์เล็ก-ใหญ่ติดตัวไว้ด้วยดีที่สุด! เพราะประเทศจีนจะเป็นตัวแม่แห่ง Cashless Society จะจ่ายเงินที่ไหนก็ต้องผ่าน App เท่านั้น สองแอปที่แนะนำไปเป็นที่นิยมสุด ควรทำให้เรียบร้อยจากเมืองไทยไปเลย
3. วิธีการผูกบัตรเดบิต/เครดิต กับ Alipay เพื่อไว้ใช้จ่ายที่จีนก็ง่ายมาก ๆ เลย

• -โหลดแอป Alipay
• -กดเข้าลงทะเบียน สามารถใช้ OTP เบอร์ไทยได้
• -หลังจากนั้นก็ยืนยันตัวตนโดยใช้ Passport และถ่ายรูปใบหน้า
• -เมื่อหน้าแอปขึ้น Verified แล้วก็สามารถผูกบัตรได้โดยเลือกตรง Bank Card และใส่ข้อมูลบัตรให้ครบถ้วน
• -เมื่อผูกบัตรเสร็จเรียบร้อยก็สามารถใช้จ่ายได้ทั้ง Scan จ่าย หรือใช้ QR ของเราให้ทางร้านค้าเป็นฝ่ายสแกนก็ได้

4. Apple Maps ถือเป็นผู้นำทางที่ดีที่สุด ใครใช้ Andriod ควรใช้ Baidu Map ด้าน Google Map เราขอปัดตกเพราะหมุดไม่ค่อยตรง ดูแล้วจะงง ๆ หน่อย แต่สำหรับ Apple Maps ในจีนถือว่าฉลาดมาก บอกละเอียดว่าขึ้นรถที่สถานีไหน ลงที่สถานีไหน ที่สำคัญเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ต้องมานั่งปวดหัวเรื่องภาษา
5. ฝึกใช้วุ้นแปลภาษา Google Translate ให้คล่อง แม้ว่าสมัยนี้คนจีนบางคนจะพอพูดอังกฤษได้บ้าง แต่คนในประเทศเขาก็ยังเน้นพูดจีนเป็นหลัก การสื่อสารที่ง่ายที่สุดก็คือใช้ App Google Translate สำหรับถามทาง ซื้อของ ต่อราคาได้ แปลเมนูอาหารอันนี้ใช้บ่อยมาก
6. ด้านการเดินทางจะเน้นรถไฟฟ้าใต้ดิน แนะนำว่าถ้าใครไม่ได้ผูกบัตรกับ Alipay มา ให้ซื้อบัตร เซินเจิ้นถง (Shenzhen Tong) 深圳通 ก่อนเดินทาง เพราะบัตรนี้ใช้จ่ายได้ทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน รถเมล์ และจับจ่ายซื้อของยังร้านค้าต่าง ๆ ที่มีสัญลักษณ์ Shenzhen Tong

• โดยสามารถหาซื้อได้ที่สถานีรถไฟฟ้า ราคาอยู่ที่ 100 หยวน เป็นค่ามัดจำ 20 หยวน และมูลค่าที่ใช้ได้ 80 หยวน สามารถนำไปคืนเงินมัดจำได้ที่ สถานี Laojie Station, Convention & Exhibition Center Station และ สถานี Bao’an Center Station

          สำหรับการเดินทางจากถิ่นไทยสู่เมืองมังกร จะเป็นใครไปไม่ได้หากไม่ใช่ AirAsia สายการบินเพื่อนรักเพื่อนคู่ใจ ที่พาเราเที่ยวมาแล้วหลายสิบประเทศ และไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยสักครั้ง ยิ่งเส้นทางไปจีนมีให้เลือกเยอะมาก อย่างเซินเจิ้นนี้ก็มีบินตรง 2 ไฟลต์/วัน ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 3 ชม. และเพื่อความสะดวกสบายตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องยันแลนดิง เราแนะนำให้กดซื้อบริการ Red Carpet ไปพร้อม ๆ กับการจองตั๋วด้วยเลย เพิ่มตังค์อีกนิดหน่อยก็จะได้เช็กอินโหลดกระเป๋าก่อนใคร, เข้าเกตไปนั่งชิลกินขนมจิบเครื่องดื่มระหว่างรอขึ้นเครื่องที่ห้องรับรองพิเศษ, ถูกเรียกขึ้นเครื่องก่อนใคร และรับกระเป๋าก่อนใคร ทำให้เราเดินทางได้สมูทแบบไม่เสียเวลา ใครแพลนทริปไว้แล้ว ก็ไปกดจองได้เลยที่ www.airasia.com และ airasia Super App

          และอย่าลืม!! ใครมี AirAsia Passport นำน้องมาเก็บแต้มกับภารกิจ ‘แดนมังกร’ เมื่อเดินทางสู่เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง ฉางซา ซีอาน ฉงชิ่ง เซินเจิ้น ครบทั้ง 6 ปลายทาง รับไปทันที 150,000 airasia points โดยพอยต์เหล่านี้สามารถใช้แทนเงินสด เป็นส่วนลดเที่ยวบิน อาหาร น้ำหนักกระเป๋า และบริการอื่น ๆ ของแอร์เอเชียได้อีกมากมาย

          พิเศษ! ประทับตราเส้นทางต่างประเทศครั้งแรกรับเพิ่ม 2,000 airasia points หรือประมาณ 150 บาท

          ใช้แทนเงินสดเป็นส่วนลดเที่ยวบิน อาหาร น้ำหนักกระเป๋าและอื่น ๆ ในครั้งถัด ๆ ไปได้เลย

          *100 airasia points ประมาณ 7.5 บาท

          ลงทะเบียนรับคะแนนได้ที่ https://form.jotform.com/230848668105462

          ระยะเวลากิจกรรม : 24 เม.ย. 2566 - 30 ก.ย. 2567

          การรับตราประทับ *เที่ยวบินขาออกต้องเดินทางจากประเทศไทยเท่านั้น สามารถประทับตราได้ที่ เคาน์เตอร์เช็คอิน ณ จุดหมายปลายทาง

          ก่อนเดินทางกลับประเทศไทย รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ https://www.airasia.com/aa/campaign/th/th/fantasyland.html

          นี่คือป่าในเมืองที่แท้ ‘Shenzhen Talent Park’ ขนาดเช่าจักรยานปั่นยังทำเราขาแทบลาก แต่กลับรู้สึกดีไปด้วยความเขียวสบายตา เป็นวิวที่เหนื่อยขนาดไหนก็ไม่ปริปากบ่น เปรียบดั่งโอเอซิสด้านจิตใจ สวนสาธารณะแห่งนี้สร้างขึ้นในธีม ‘Talent’ เพื่อให้ผู้คนตระหนักถึงคุณค่าของความสามารถพิเศษ และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเมืองเซินเจิ้น ภายในมีทั้งทะเลสาบ มุมริมน้ำน่าปูเสื่อปิกนิก ลู่วิ่งยาว 2.7 กิโลเมตร ห้องอาบน้ำ สนามเด็กเล่น หาดหิน ห้องสมุด โถงนิทรรศการ ฯลฯ สามารถเดินทางได้ด้วยรถไฟใต้ดิน ลงสถานี Houhai ทางออก G, H หรือลงสถานี Dengliang ทางออก C ก็ได้

          เรานั่งรถไฟใต้ดินมายังสถานี Houhai เดินตามป้ายทางออก G เพื่อมายังสวนสาธารณะและลองเช่าจักรยานปั่นรอบเมืองเพราะว่ามันง่ายมาก ๆ สามารถเช่าและจ่ายผ่าน Alipay ได้เลย มีทั้งรายชั่วโมง เหมาสามวัน เจ็ดวัน แล้วแต่สะดวก ที่ชอบสุด ๆ คือเขามีจุดจอดรับ-คืนจักรยานอยู่ทั่วเมือง สมกับความเป็นเมืองแห่งอนาคตที่พร้อมอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในทุก ๆ มิติจริง ๆ

          นอกจากความใหญ่แล้ว ที่นี่ยังถูกจัดสัดส่วนอย่างดีด้วยฝีมือ Zhu Jie นักออกแบบภูมิทัศน์ ที่ใช้เวลาทำงานกับสวนนี้มากว่า 10 ปี เพื่อสร้างระบบนิเวศทางธรรมชาติ ให้เข้ากับผู้คนในเมืองได้อย่างสมบูรณ์ ครบครันไปด้วยสิ่งที่ช่วยในการพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมือง พร้อมประติมากรรมที่มาช่วยจรรโลงตาแก่นักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ แค่ครึ่งเช้าวันแรกก็แทบจะยกให้โลเคชันนี้ที่เดียวแล้ว

          เส้นทางจักรยานนี้ยังเชื่อมต่อมายังสวน ‘Shenzhen Bay Park Liuhuashan’ พื้นที่สาธารณะริมอ่าว ที่มีจุดเด่นเป็นสวนดอกไม้สีสดใส พร้อมทางเดินริมน้ำที่ยาวที่สุดในเซินเจิ้น ราว ๆ 10.6 กิโลเมตร มาบ่าย ๆ ก็จะเจอคนมาเดินเล่นปิกนิกแบบบางตา เห็นแดดแรงแบบนี้แต่อากาศเย็นสบายสุด ๆ ส่วนช่วงเย็นก็จะคึกคักไปด้วยผู้คนที่มาออกกำลังกาย ชอบบรรยากาศแบบไหน เลือกได้เลย

          ใกล้ ๆ กันเราจะเห็นอาคารทรงยาวที่มีโครงสร้างคล้ายรังไหมอยู่ ที่นี่คือ ‘Shenzhen Bay Sports Center Stadium’ หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ‘Spring Cocoon Sports Center’ ศูนย์กีฬาขนาดใหญ่ ประกอบด้วยโรงยิม สนามกีฬาแบบต่าง ๆ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส รวมไปถึงโรงแรมติดดาววิวทะเล นอกจากมาเล่นกีฬาแล้ว ที่นี่ยังเป็นอีก photo spot ที่เราอยากแนะนำให้มาร่วมเฟรมกับแสงเงา ที่พาดผ่านรูรังไหมได้สวยงามสุด ๆ แถมยังมีร้านค้าให้เราเดินชอปนิด ๆ หน่อย ๆ ได้อีกด้วย

          จุดเช็กอินสุดจึ้งแห่งใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดเมื่อปี 2022 ‘Gangxia North’ สถานีรถไฟใต้ดินที่เป็นเหมือนฮับเชื่อมต่อทุกส่วนของเมืองไว้ด้วยกัน จนกลายเป็น ‘Eye of Shenzhen’ มีรถไฟฟ้าใต้ดินครอบคลุมถึง 4 สาย (สาย 2 / 10 / 11 / 14) บนพื้นที่กว่า 220,000 ตารางเมตร สร้างเพื่อยกระดับการขนส่งสาธารณะทุกรูปแบบ ถือเป็นอีกโครงการขนส่งทางรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในจีน ใช้เวลาสร้างนานกว่า 7 ปี หน้าตาออกมาดูล้ำสมัยสวยสมมงสุด ๆ ใครอยากมาชมก็สามารถนั่งรถไฟมาที่สถานี Gangxia North ได้เลย

          กาแฟแบรนด์ดังที่เปิดสาขาเป็นลำดับที่ 300 ของเซินเจิ้น ‘Starbucks Reserve (Shenzhen TeeMall)’ ตั้งอยู่ภายในอาคารที่เคยเป็น Kingway Brewery อดีตแลนด์มาร์กอันโด่งดังตั้งแต่ปี 1990 โดยภายนอกก็ยังคงโครงสร้างเดิมไว้อย่างดี ภายในรีโนเวทให้กลายเป็นร้านกาแฟที่มีความลอฟต์ผสานอบอุ่นน่านั่งจิบเครื่องดื่มเคล้าของหวานสุด ๆ โดยจะมีทั้งหมด 4 ชั้น จัดสรรให้เป็นที่นั่งและตกแต่งงานอาร์ตเก๋ ๆ ให้เราได้เดินชม สามารถนั่งรถไฟมาที่สถานี Buxin ทางออก B แล้วเดินมาอีกราว ๆ 650 เมตรก็ถึงแล้ว

          กลายเป็นอีกเมืองที่ให้คุณค่ากับพื้นที่สีเขียวขั้นสุดจริง ๆ เพราะมีพาร์คให้เที่ยวเยอะมาก หนึ่งในนั้นคือ ‘Shenzhen Bao’an Waterfront Cultural Park’ ที่คว้ารางวัลอันดับหนึ่งสวนสาธารณะที่ออกแบบดีที่สุดในโลกจาก ASLA Honor Award ตั้งอยู่ศูนย์กลางของอ่าวกวางตุ้ง ฮ่องกง มาเก๊า (The Greater Bay Area) ใช้พื้นที่กว้างกว่า 270,000 ตารางเมตร โดยมีไอคอนประจำสวนเป็นชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ Bay Glory ความสูง 128 เมตรตั้งตระหง่านอย่างสง่างาม รอบ ๆ ประกอบไปด้วย Bay Voice ศูนย์ศิลปะการแสดง ละลานตาไปด้วยร้านค้าริมอ่าว สามารถเดินเชื่อมต่อชายฝั่งตั้งแต่ตะวันออกถึงตะวันตกได้ พร้อมสิ่งปลูกสร้างฟอร์มสวย ให้เราเดินเข้าไปถ่ายรูปเช็กอินเก๋ ๆ

• พื้นที่สวนเขาเปิดให้เข้าชมตลอด 24 ชม.
• ส่วนชิงช้าสวรรค์จะเปิดให้ขึ้น
• จันทร์-ศุกร์ เวลา 10:30 - 21:30 น.
• เสาร์-อาทิตย์และวันหยุด 10:30 - 22:00 น.
• เดินทางด้วยรถไฟใต้ดินสาย 5 มาลงสถานี Linhai ทางออก B2

          ภายในสวนจะมีอีกแลนด์มาร์กที่ไม่ควรพลาด ร้านขายหนังสือที่ใหญ่ที่สุดของเซินเจิ้น และเป็นอีกแห่งที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดของจีน ‘Zhongshuge Bookshop’ ร้านหนังสือเครือใหญ่ที่มีหลายสิบสาขาทั่วประเทศ แต่ละแห่งจะสร้างบรรยากาศการอ่านแสนอัศจรรย์เกินจินตนาการ สาขาเซินเจิ้นนี้ออกแบบโดย X+Living สร้างบนพื้นที่กว้างกว่า 1,300 ตารางเมตร ไฮไลต์อยู่ที่ตู้หนังสือสีแดงที่บิดเป็นเกลียวตอนลึกคล้ายก้นหอย เหมือนประตูทะลุมิติสู่โลกของนักอ่าน และยังมีโซนอ่านหนังสือสำหรับเด็กที่เน้นสีสันสดใส รูปทรงชั้นวางเหมือนงานศิลปะ เรียกว่าปรายตา กวาดกล้องไปมุมไหนก็ได้รูปสวย ๆ เพียบ โดยเขาจะเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 10:00 - 23:00 น. เดินทางด้วยรถไฟใต้ดินสาย 5 สถานี Linhai ออกทางออก B1 ร้านอยู่ชั้น 1 ภายในศูนย์การค้า OH Bay Mall

          ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ขอสปอยที่พักสักหน่อย เพราะโลเคชันดี สะดวกทั้งเดินทาง สะดวกทั้งชอปปิ้งและหาของอร่อยกินกับโรงแรม ‘ZTL Hotel Shenzhen (Zhong Tai Lai Hotel Shenzhen)’ โรงแรมที่ดูหรูดูแกรนด์ แต่ไวบ์การดูแลให้ความโคซี่อบอุ่น ห้องนอนกว้างขวาง อุดมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งชุดอาบน้ำ แชมพู สบู่ แอร์ ทีวี ตู้เย็น ชุดชงชา-กาแฟ เตียงหลับสบายระดับดูดวิญญาณ ที่สำคัญตั้งอยู่ใกล้กับชอปปิงสตรีต ตลาด Dongmen เดินทางสะดวกสุด ๆ ด้วยรถไฟใต้ดินสถานี Laojie ทางออก D

          เลี้ยวตัวจากประตูโรงแรมไม่กี่ก้าว เราก็จะได้พบเจอกับแหล่งละลายทรัพย์แห่งเซินเจิ้น ‘ตลาดตงเหมิน (Dongmen)’ ถนนที่รวมร้านค้า-สตรีตฟูดตลอดความยาวเกือบ 2 กิโลเมตร มีสถาปัตยกรรมที่ผสานความโมเดิร์นและคลาสสิกไชนีสอันโดดเด่น ทั้งป้ายโฆษณา ป้ายไฟของแบรนด์ร้านค้า ตัดกับหลังคาเก๋งจีน ดูสะดุดแต่กลับเพลินตา ของส่วนใหญ่ที่นี่จะเป็นสินค้าแฟชั่นทั่วไป เหมาะกับคนที่ชอบชอปของกระจุกกระจิกราคาไม่แพงมาก หรือจะมาชอปของกินเล่นริมทางก็มีให้เลือกหลากหลาย มาได้ตั้งแต่เช้าเพราะเขาเปิด 10:00 - 23:00 น. ยาว ๆ ไปเลย

          หากอยากลิ้มรสอาหารเช้าพื้นเมืองสไตล์เซินเจิ้น เราขอแนะนำให้มาที่ร้าน ‘Chaoshan Kezhiwei’ เป็นร้านริมทางตั้งอยู่ตรงข้ามโรงแรมเรานี่เอง เห็นช่วงเช้าคนท้องถิ่นมารอกินเยอะมาก เลยลองเข้าไปจิ้มรูปสั่งดู ซึ่งของส่วนใหญ่จะเป็นโจ๊ก ปาท่องโก๋ ติ่มซำ สิ่งที่ห้ามพลาดคือก๋วยเตี๋ยวหลอด หน้าตาดูไลต์ ๆ แต่บอกเลยว่ารสชาติกลมกล่อมจนตาวาว ตัวแป้งมีความเหนียวนุ่ม นึ่งมาร้อน ๆ กินคู่กับซอสรสเค็ม ๆ หวาน ๆ ถือเป็นมื้อเช้าที่อุ่นสบายท้องสุด ๆ

          แม้เมืองนี้จะถูกปรับลุคเปลี่ยนแปลงโฉมให้ดูล้ำยุคล้ำสมัยขนาดไหน แต่ก็ยังมีความอาร์ตสไตล์คลาสสิกแอบซ่อนอยู่ เช้านี้เราขอเริ่มต้นกันแบบสดใสกันที่ย่าน ‘Dafen Oil Painting Village’ หมู่บ้านแห่งการตวัดแปรงตามแรงจินตนาการ ที่ทุกตรอกซอกซอยจะมีร้านค้าจัดวางงานศิลปะซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพเพนต์สีน้ำมัน ตั้งแต่งานออกแบบเองจากอาร์ติสมืออาชีพ งานเขียนเลียนแบบศิลปินชื่อดัง อาทิ Van Gogh, Monet, Da Vinci ไปจนถึงภาพสไตล์วินเทจติดกรอบหรูหราประหนึ่งหลุดมาจากวังในยุโรปก็มีเช่นกัน เดิมที่นี่ถือเป็นแหล่งผลิตภาพสีน้ำมันขนาดใหญ่ของโลก สามารถส่งภาพออกขายหลายล้านภาพต่อปีเลยทีเดียว

          หมู่บ้านแห่งนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1988 จากเหล่าศิลปินและนักธุรกิจที่อยากหาฮับในการสร้างผลงานศิลปะในการส่งออก ณ ตอนนั้นที่บริเวณนี้ราคาค่อนข้างถูก จึงเริ่มสร้างเป็นหมู่บ้าน Painting ต่อยอดยาวจวบจนถึงปัจจุบันเราก็ยังเห็นศิลปินแทบจะทุกเพศ-วัย นั่งสร้างผลงานกันให้เห็นสด ๆ อย่างที่เห็นนี้เลย

          ร้านหม่าล่าหม้อไฟคะแนนเต็มสิบเจ้าดังจากเมืองฉงชิ่ง เราเลือกมาร้านนี้เพราะเห็นคนมาเช็กอินในไอจีเยอะมาก พร้อมรูปอาหารบานฉ่ำเต็มโต๊ะ ‘杉姐 / Shan sister’ ซึ่งช่วง Prime time คิวจะยาวมาก แนะนำให้มาคล้อยบ่ายหน่อย ๆ ก็จะรอไม่นานนัก ด้านเมนูนั้นมีให้เลือกละลานตาระดับที่ร้านหม่าล่าไทยชิดซ้ายไปได้เลย ทั้งเนื้อ เส้น ผัก ของทะเล แต่ละอย่างแยกประเภทออกมาได้อีกเยอะมาก ด้านซุปหม่าล่าบอกเลยว่าชาสะบัด ขนาดที่กัดลิ้นตัวเองยังไม่รู้สึก แต่มันก็อร่อยจนหยุดไม่ได้จริง ๆ ด้านของหวานนั้นมีให้เลือกเยอะ หรือจะเป็นอาหารปรุงสุกก็มีให้เลือกเช่นกัน

          เสพศิลป์สไตล์คลาสสิกกันแล้ว ก็มาชมอาร์ตร่วมสมัยกันสักหน่อย ที่ ‘MOCAPE’ พิพิธภัณฑ์จัดแสดงงานศิลปะร่วมสมัยที่เหมือนหลุดมาจากโลกอนาคต มีอาคารอยู่ 2 ส่วน ระหว่างกลางเป็นที่ตั้งของประติมากรรม cloud โลหะสีเงินรูปทรงคล้ายเมฆเป็นไอคอนประจำมิวเซียม อาคารทั้งสองแห่งเน้นออกแบบให้ดูโปร่งแสงสร้างแสงเงาสวยทุกช่วงเวลา เป็นกระจกที่ป้องกันได้ทุกสภาพอากาศ ใช้พลังงานหมุนเวียนจากแสงอาทิตย์ และพลังงานความร้อนใต้พื้นดิน จึงเป็นอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายในประกอบด้วยห้องจัดนิทรรศการ หอประชุม ห้องประชุม ร้านกาแฟ ร้านหนังสือ และมุมถ่ายรูปเยอะมาก รู้ตัวอีกทีแบตกล้องก็ขึ้นสีแดงแล้ว

• เปิดให้บริการวันอังคาร-วันอาทิตย์
• เวลา 10:00 - 18:00 น. (หยุดวันจันทร์)
• เดินทางได้ด้วยรถไฟสาย 3 และ 4 มาที่สถานี Children’s Palace ทางออก A

          แหล่งชอปปิงที่เล่นใหญ่เล่นโตด้วยการยกเรือสำราญมาวางไว้ในสระ โดยเรือที่เห็นนี้ชื่อว่า Minghua ซึ่งเคยใช้เป็นเรือเดินสมุทรของฝรั่งเศสเมื่อปี 1962 ปัจจุบันถูกปรับให้เป็นแหล่งเอนเตอร์เทนเมนต์ชั้นดี มีทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ บาร์และโรงแรม สามารถมาเทคไทม์ยาว ๆ ได้ตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน รอบ ๆ เต็มไปด้วยร้านค้าให้ชอปปิง แนะนำให้มาช่วงเย็น ๆ ทุกร้านจะเปิดกันแบบเต็มระบบ พร้อมรอชมการแสดงน้ำพุเต้นระบำ ประกอบแสงสีเสียงเป็นเวลา 10 นาที มีรอบแสดงตั้งแต่ 19:00 / 20:00 / 21:00 น. สามารถนั่งรถไฟมาที่สถานี Sea World ทางออก A ได้เลย

          อีกอาคารที่เหล่านักล่างาน architech ไม่ควรพลาด ‘SWCAC’ ออกแบบโดย Maki and Associates ผู้ออกแบบสถาปัตยกรรมสุดล้ำ ผลงานเป็นที่ประจักษ์ทั้งในแคนาดา อินเดีย และสิงคโปร์ โดดเด่นด้วยความมินิมอลเน้นสีขาว ติดตั้งกระจกดูสบายตา แต่การจัดวางองค์ประกอบนั้นซับซ้อนอย่าบอกใคร ภายในถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน The Cultural Plaza, The Central Plaza และ The Waterfront Plaza มีทั้งพื้นที่จัดงานนิทรรศการ พื้นที่เวิร์กช็อป โรงละครที่สามารถจุคนได้มากถึง 330 ที่นั่ง และสวนสาธารณะบนดาดฟ้าที่เชื่อมอาคารต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ชมวิวทะเลและภูเขาของฝั่งฮ่องกง และหากอยากหาของว่างรองท้อง ด้านล่างเขาก็มี Food truck ขายกาแฟ ขนมไว้คอยบริการอยู่ด้วย โดยที่นี่เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 10:00 - 22:00 น. เดินจากสถานี Sea World ทางออก A ประมาณ 10 นาที

          จุดสำคัญที่ทำให้เราทราบที่มาของความเป็นอยู่ของชาวเซินเจิ้นแบบดั้งเดิม ‘เมืองเก่าหนานโถว’ โดยเมืองนี้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 331 ใช้เป็นกองบัญชาการตงก่วนและเทศมณฑลเปาอัน ของราชวงศ์จิ้นตะวันออก ผู้ปกครองประเทศจีนตอนใต้ทั้งหมดในสมัยนั้น ผ่านเหตุการณ์สำคัญของโลกมาอย่างโชกโชนจนถึงปัจจุบัน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญที่เห็นอย่างเด่นชัดคือ กำแพงเมืองอายุกว่า 600 ปีที่ยังคงสวยสมบูรณ์เปี่ยมมนต์ขลัง ท่ามกลางสิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่ ด้านในมีการสร้างอาคารแบบเก่าไว้ ใช้เป็นร้านค้าขายของฝากดีไซน์เก๋สไตล์แฮนเมด ร้านอาหารหน้าตาน่ารักน่าเช็กอินมากมาย

          และร้านที่เราเลือกเข้าไปสร้างคอนเทนต์คิวต์ ๆ ในครั้งนี้ ‘ซงเซียวฝูคาเฟ่’ ร้านสัญชาติจีนหน้าตาเกาหลีเกาใจ มอบความสว่างสดใสตั้งแต่แรกเห็นด้วยโทนร้านสีขาวเหลือง ตกแต่งดวงไฟส้มทรงกลมดูนวลตา มีมาสคอตเป็นแพนเค้กพร้อมน้องหมีหน้าตาน่าหยิก ซึ่งของเด็ดของดังประจำร้านคือซูเฟล่ แพนเค้กแบบหนานุ่มเด้งดึ๋ง โบกครีมชีสมาฉ่ำ กินร้อน ๆ พร้อมมะม่วงเย็น ๆ แล้วฟินสุด ๆ หรือจะสั่งเป็นวาฟเฟิลก็ถือเป็นเมนูเด็ดที่ต้องลองเช่นกัน ด้านเครื่องดื่มมีทั้ง coffee และ non-coffee นี่ลองสั่งโซดา กินแล้วสดชื่นตาตื่นตลอดวันเลย

          ถือเป็นทริปที่เราเที่ยวแบบใช้เวลาได้ชิล ๆ เพราะไฟลต์กลับไทยเป็นช่วงกลางคืน เราจึงสามารถจัดแพลนเที่ยวแบบเต็มวันได้ก่อนกลับ ค่อย ๆ ฮอปปิงอ้อยอิ่ง เก็บตกบรรยากาศเมืองได้อย่างเต็มอิ่ม ต้องขอบคุณแอร์เอเชียที่จัดสรรเวลาได้เลิศ แถมยังได้เก็บภารกิจใน AirAsia Passport ซึ่งทั้ง 8 ภารกิจ ส่วนใหญ่มีทั้งเส้นทางท่องเที่ยวป็อป ๆ, เส้นทางที่เพิ่งเปิด ดูน่าค้นหา นอกจากสนุกกับการล่าแต้มแล้ว เรายังได้สนุกกับการได้เดินทางไปที่ใหม่ ๆ อย่างไม่รู้จบอีกด้วย

ด้วยรัก

บันทึกคนขี้เที่ยว