เที่ยวซีอาน 5 วัน 4 คืน พาบุกจีนกับรูทสายชิลและสายลุย

          เมื่อพี่จีนเขารักเรา หลงเราจนมอบฟรีวีซ่าให้กับเรา ก็ได้เวลาตามล่าความฝันในวัยเยาว์เปิดโพยมรดกโลก มาเจาะเวลาหาจิ๋นซีแบบไม่ต้องง้อทัวร์กันสักที ทริป 5 วัน 4 คืนครั้งนี้เราจะพาทุกคนไปบุกเมืองซีอาน

          เมืองที่เก็บงำอารยธรรมอันเก่าแก่กว่า 3,000 ปี 
          ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีอดีตอันน่าค้นหาผุดพรายขึ้นมาไม่ขาดห้วง 
          สมกับที่เป็นถิ่นฐานของจักรพรรดิองค์แรกของจีน 
          ที่ได้สร้างสุสานอันยิ่งใหญ่แบบไม่มีใครเทียบ 
          บ้านเมืองที่ผสานความเก่าใหม่ได้อย่างลงตัว 
          นั่งรถออกเมืองไปอีกนิดก็พบกับธรรมชาติสุดอลัง 
          มีรูทการเดินตอบโจทย์ทั้งสายชิลและสายลุย 
          ถ่ายรูปเช็กอินกับมรดกโลกกิมมิกปัง 
          แวะชิมของอร่อยชมอาร์ตกันสักหน่อยที่ถนนคนเดิน
          สิริแล้วเราจัดมาให้ถึง 15 โลเคชัน เที่ยวฉ่ำ ๆ ไม่สนลูกใคร
          พร้อมการเดินทางที่ไม่ต้องเสียเวลาต่อเครื่อง 
          เพราะแอร์เอเชียเขามีบินตรงจากดอนเมืองสู่ซีอาน
          ใช้เวลาแค่ 4 ชม. ก็สามารถเปลี่ยนบรรยากาศจากป่าคอนกรีต
          สู่ดินแดนพิศวงได้ทันทีทันใจ

1. ตอนนี้คนไทยเที่ยวจีนฟรีวีซ่าแล้วน้าาา
2. โหลด App Alipay และพกเงินสดแบงค์เล็ก-ใหญ่ติดตัวไว้ด้วยดีที่สุด! เพราะประเทศจีนจะเป็นตัวแม่แห่ง Cashless Society จะจ่ายเงินที่ไหนก็ต้องผ่าน App เท่านั้น แอปที่แนะนำไปเป็นที่นิยมสุด ควรทำให้เรียบร้อยจากเมืองไทยไปเลย
3. วิธีการผูกบัตรเดบิต/เครดิต กับ Alipay เพื่อไว้ใช้จ่ายที่จีนก็ง่ายมาก ๆ เลย

• โหลดแอป Alipay
• กดเข้าลงทะเบียน สามารถใช้ OTP เบอร์ไทยได้
• หลังจากนั้นก็ยืนยันตัวตนโดยใช้ Passport และถ่ายรูปใบหน้า
• เมื่อหน้าแอปขึ้น Verified แล้วก็สามารถผูกบัตรได้โดยเลือกตรง Bank Card และใส่ข้อมูลบัตรให้ครบถ้วน
• เมื่อผูกบัตรเสร็จเรียบร้อยก็สามารถใช้จ่ายได้ทั้ง Scan จ่าย หรือใช้ QR ของเราให้ทางร้านค้าเป็นฝ่ายสแกนก็ได้

4. Apple Maps ถือเป็นผู้นำทางที่ดีที่สุด ใครใช้ Andriod ควรใช้ Baidu Map ด้าน Google Map เราขอปัดตกเพราะหมุดไม่ค่อยตรง ดูแล้วจะงง ๆ หน่อย แต่สำหรับ Apple Maps ในจีนถือว่าฉลาดมาก บอกละเอียดว่าขึ้นรถที่สถานีไหน ลงที่สถานีไหน ที่สำคัญเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ต้องมานั่งปวดหัวเรื่องภาษา
5. ฝึกใช้วุ้นแปลภาษา Google Translate ให้คล่อง แม้ว่าสมัยนี้คนจีนบางคนจะพอพูดอังกฤษได้บ้าง แต่คนในประเทศเขาก็ยังเน้นพูดจีนเป็นหลัก การสื่อสารที่ง่ายที่สุดก็คือใช้ App Google Translate สำหรับถามทาง ซื้อของ ต่อราคาได้ แปลเมนูอาหารอันนี้ใช้บ่อยมาก
6. ด้านการเดินทางจะเน้นรถไฟฟ้าใต้ดิน แนะนำว่าให้ Activate QR Code สำหรับใช้สแกนเข้ารถไฟฟ้าในฟังก์ชั่น Transport ของ Alipay ไว้เลย สามารถใช้สแกนเข้าออกแล้วตัดเงินในบัตรทันทีแบบไม่ต้องไปต่อคิวซื้อตั๋วสะดวกสุด ๆ
7. แนะนำโหลดแอปรถไฟใต้ดินจีน Metro China Subway ให้เลือกเมือง “ซีอาน (Xi’an)” เมนูเป็นภาษาอังกฤษ

          เชื่อว่าการเดินทางที่ไม่สะดุดจะสร้างมู้ดการเที่ยวที่ดีได้ตลอดทริป ฉะนั้นเราจึงไว้วางใจแอร์เอเชีย สายการบินราคาประหยัด ที่เทคออฟตรงเวลา แลนดิงอย่างปลอดภัย โดยเขาก็มีเส้นทางบินตรงจากดอนเมือง-ซีอานใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น ไฟลต์ของเราคือ

          DMK - XIY (FD 588) : 16:40 – 21:35
          XIY - DMK (FD 589) : 22:50 – 01:45+1

          ถือเป็นเวลาเที่ยวที่เหมาะสมกับคนทำงาน ลางานช่วงบ่ายบินไปนอนพักเอาแรง แล้วตื่นมาโลดแล่นได้แบบไม่อ่อม โดยตอนนี้สามารถบินได้ทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ อาทิตย์ และกำลังจะเพิ่มรอบบินไปซีอานทุกวันเริ่มตั้งแต่ กรกฎาคม 2024 เป็นต้นไป

          นอกจากนี้ยังมีเส้นทางบินตรงสู่จีนอีก 12 ปลายทาง ได้แก่ ซีอาน เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว เซินเจิน เฉิงตู ฉางซา คุนหมิง ฉงชิ่ง หางโจว อู่ฮั่น ซัวเถา และปักกิ่ง ไม่ว่าจะบินใกล้หรือไกล เราไม่เคยลืมที่จะกดตั๋วพร้อมเลือกแพ็กสุดคุ้ม (Value Pack) ตอบทุกโจทย์คนเดินทาง ลดราคาให้สูงสุด 50% ได้มาทั้งน้ำหนักกระเป๋า 20 กิโลกรัม ขนชุดไปได้จุก ๆ มีอาหารอุ่นร้อนที่รังสรรค์เมนูใหม่ ๆ มาทุกซีซัน อย่างรอบนี้เป็นปลาซาบะตัวโตชุ่มซีอิ๊วหวานญี่ปุ่น กินอิ่มหลับสบายบนที่นั่งที่เราเลือกเองได้ดั่งใจ เป็นสายการบินที่ราคาดีแบบทำถึง ทำดีจนไม่กล้านอกใจ ฉะนั้นใครจะไปจีนกดจองได้เลยที่ www.airasia.com และแอปพลิเคชัน AirAsia MOVE

          สำหรับคนที่มาเมืองนี้ครั้งแรกและต้องการที่พักเป็นเซฟโซนในราคาน่ารัก เราขอแนะนำ 𝐈𝐛𝐢𝐬 𝐒𝐭𝐲𝐥𝐞𝐬 𝐇𝐨𝐭𝐞𝐥 (𝐗𝐢'𝐚𝐧 𝐁𝐞𝐥𝐥 𝐚𝐧𝐝 𝐃𝐫𝐮𝐦 𝐓𝐨𝐰𝐞𝐫 𝐇𝐮𝐢𝐦𝐢𝐧 𝐒𝐭𝐫𝐞𝐞𝐭) 宜必思尚品酒店 (西安钟鼓楼回民街店) แบรนด์ในเครือ Accor ยืนหนึ่งเรื่องบริการมาตรฐานสากล ดูสะอาดเอี่ยมอ่อง มีพื้นที่กว้างขวาง สิ่งอำนวยความสะดวกครบ และโลเคชันเรียกว่ามงลงสุด ๆ เพราะอยู่ใกล้สถานีรถไฟ ระหว่างทางเดินไปก็เต็มไปด้วยร้านค้า คาเฟ่ ร้านอาหารชื่อดัง ห้อมล้อมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทั้งหอกลอง ตลาดมุสลิม หอระฆัง แต่มีอย่างหนึ่งที่เป็นอุปสรรค พนักงานสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้ เลยต้องฝึกใช้ Google Translate ให้ชินมือนะฮะ

• การเดินทาง : สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน Zhonglou (钟楼) หากมีสัมภาระแนะนำให้ออกทางออก 8 ถ้าทางออก C จะเป็นบันได
• Map : https://j.map.baidu.com/aa/ZDn

          สปอตแรกของทริปเราเดินเท้าออกจากที่พักแค่ 5 นาทีก็มายืนถึงหน้า ‘𝐃𝐫𝐮𝐦 𝐓𝐨𝐰𝐞𝐫’ อาคารแบบจีนแทร่ที่ถูกอนุรักษ์ไว้อย่างงดงาม ยืนสง่าอยู่ท่ามกลางเมืองใหม่อย่างผ่าเผย หอนี้มีอายุมากกว่า 600 ปี สร้างขึ้นช่วงการปกครองของฮองวู ฮองเต้แห่งราชวงศ์หมิง ผ่านการต่อเติมซ่อมแซมจึงมีสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานศิลปะของราชวงศ์ถังและราชวงศ์ชิงไว้ด้วยกัน ทำหน้าที่เตือนภัยยามฉุกเฉิน ภายในจัดแสดงกลองขนาดใหญ่ ข้าวของเครื่องใช้ยุคโบราณ เป็นคู่หูดูโอ้กับหอระฆังที่อยู่ตรงข้ามกันซึ่งมีไว้สำหรับตีบอกเวลา กลางวันว่าสวยแล้วแต่กลางคืนจึ้งยิ่งกว่า จากการแต่งแต้มเม็ดไฟสีส้มแดงโชติช่วงดูเป็นมงคล ตัดกับแสงทไวไลท์ของท้องฟ้าได้อย่างเป๊ะปัง ยิ่งมีถนนคนเดิน ร้านค้าอยู่ข้าง ๆ ยิ่งดูมีชีวิตชีวา

• การเดินทาง : สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน Zhonglou (钟楼)
• Map : https://j.map.baidu.com/58/5fui\

          หลังจากที่ยืนอึ้งกับความงามแรกของซีอานเสร็จเราก็เดินต่ออีกนิดมาพบกับ ‘𝐌𝐮𝐬𝐥𝐢𝐦 𝐒𝐭𝐫𝐞𝐞𝐭’ ถนนแสนคึกคักยามค่ำคืนเรียงรายไปด้วยอาหารริมทาง ทำเอาคนไทยผู้รักสตรีทฟู้ดอย่างเราใจละลาย ความเป็นมาของถนนนี้เริ่มต้นจากเส้นทางสายไหมเมื่อพันปีก่อนเมื่อจีนทำการค้าขายกับประเทศอาหรับและเปอร์เซียในสมัยราชวงศ์ฮั่น จึงมีพ่อค้าและนักศึกษามาอาศัยอยู่ละแวกนี้เยอะ โดยเรียกคนกลุ่มนี้ว่าชาวฮุย ซึ่งปัจจุบันมีประชากรมากถึง 60,000 คน ฉะนั้นที่นี่จึงมีของกินเล่นทั้งของจีน และแบบฟิวชั่นหน่อย ๆ ที่นิยมจะเป็น roujiamo เบอร์เกอร์เนื้อสไตล์จีน, อาหารอุยกูร์ พวกพิต้ากับซุปเนื้อแกะ, เกี๊ยวซ่าซีอาน, บะหมี่เย็น เป็นต้น

• การเดินทาง : สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน Zhonglou (钟楼)
• Map : https://j.map.baidu.com/41/V7Ti

          สำหรับเดย์ทูเราตั้งใจตามธีมเปิดโพยมรดกโลก เก็บแลนด์มาร์กให้ครบ เริ่มด้วยการนั่งรถออกจากเมืองไปประมาณชั่วโมงนิด ๆ มาที่ ‘𝐓𝐞𝐫𝐫𝐚𝐜𝐨𝐭𝐭𝐚 𝐖𝐚𝐫𝐫𝐢𝐨𝐫𝐬’ สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิคนแรกของจีนที่ผนวกแคว้นต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ถือเป็นหนึ่งในมรดกโลกอันยิ่งใหญ่ ที่ใช้พื้นที่ 100 ตารางกิโลเมตร สร้างเป็นเมืองหลังความตายของตนเอง ใช้คนสร้างมากกว่า 700,000 คนเป็นเวลา 38 ปี แม้จะได้ยินเรื่องราวมานานตั้งแต่เด็ก แต่พอได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง บอกเลยว่ามันอลังการชวนตาค้างมาก พี่จีนเขาเป็นตัวตึงเรื่องความยิ่งใหญ่จริง ๆ

• การเดินทาง : เรียกแท็กซี่ผ่านแอป DiDi หรือนั่งรถบัสจากสถานีรถบัสซีอาน (Xi'an Railway Station) มีรถบัสสาย 5 หรือสาย 306 ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
• Map : https://j.map.baidu.com/02/Ff

          โดยเขาจะแบ่งนิทรรศการเป็นโดม 3 หลัง จุดแรกเป็นไฮไลต์ที่ผู้คนทั่วโลกต่างตั้งใจมาเชยชม รูปปั้นบรรดาทหารและม้าศึกปั้นจากดินเผาขนาดเท่าของจริงจำนวนมหาศาล ที่ยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ ทำหน้าที่เฝ้ายามชั่วนิจนิรันดร์ หากสังเกตดี ๆ เราจะเห็นว่าแต่ละตัวมีเอกลักษณ์หน้าตาไม่ซ้ำกัน นั่นเป็นเพราะตอนสร้างเขาจะใช้เบ้าหน้าทั้งหมด 8 แบบ แล้วนำมาแต่งเติมผม และหนวดทีหลัง เกิดเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่าง เป็นดีเทลที่ทำให้รู้สึกเหมือนหุ่นเหล่านี้มีตัวตนจนอดขนลุกไม่ได้เลย

          โดมต่อมาจะพาเราสำรวจโลกหลังความตายของจิ๋นซีฮ่องเต้ลึกลงไปอีก ภายในอาคารปิดทึบจำกัดแสงไฟเพื่อป้องกันการสึกกร่อน หรือซีดจางของสีบนรูปปั้น เพราะรูปปั้นที่อยู่ในนี้จะยังคงมีสีสันแบบดั้งเดิมแต่งแต้มอยู่ ทั้งบนเรือนร่าง เครื่องแต่งกาย และอาวุธ จนมาถึงโดมสุดท้าย จะเป็นส่วนที่ใกล้หลุมศพมากที่สุด จุดนี้เราจะได้พบกับจิ๋นซีฮ่องเต้พร้อมเหล่าทหารคนสนิท จัดตั้งอยู่ในตู้กระจกให้เราชมอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังจัดแสดงของสะสมโบราณมากมาย อาทิ เครื่องใช้ ชุดเกราะ อาวุธ ของตกแต่งอันเลอค่า ฯลฯ แต่ละสิ่งตะโกนความยิ่งใหญ่ของปฐมกษัตริย์แห่งแดนมังกร จนเราจินตนาการความรุ่งโรจน์ของท่านได้อย่างชัดเจน

          โลเคชันที่เป็นตัวต้นเรื่องของซีรีส์เรื่องดัง ‘ไซอิ๋ว’ กับประวัติเรื่องราวของพระถังซัมจั๋ง ‘𝐆𝐢𝐚𝐧𝐭 𝐖𝐢𝐥𝐝 𝐆𝐨𝐨𝐬𝐞 𝐏𝐚𝐠𝐨𝐝𝐚’ หรือเจดีย์ต้าย่าน (大雁塔) ที่มีอายุมากกว่า 1,370 ปี สร้างสมัยราชวงศ์ถัง ใช้เป็นสถานที่เก็บพระไตรปิฎก ที่ได้อัญเชิญจากอินเดียมาสู่จีนโดยพระถังซัมจั๋ง เริ่มแรกเจดีย์มีความสูงอยู่ที่ 5 ชั้น ผ่านการบูรณะต่อเติม ผ่านแผ่นดินไหวครั้งใหญ่มาแล้วหลายครั้ง ปัจจุบันเจดีย์จึงมีความสูงอยู่ที่ 7 ชั้น และมีโครงสร้างที่เอียงไปทางทิศตะวันตกเล็กน้อย ถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มอาคารวัด Da Ci’en ซึ่งมีพื้นที่กว้างถึง 50,000 ตารางเมตร ด้วยความเรียบง่ายอันงดงามบวกอายุนับพันปี เจดีย์ต้าย่านจึงได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับ AAAA ของจีนอีกด้วย

• การเดินทาง : สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสถานี DAYANTA (大雁塔)
• Map : https://j.map.baidu.com/75/GcM

          จุดที่พลาดไม่ได้คือการมาร่วมเฟรมกับรูปปั้น Master Xuanzang หรือที่เรารู้จักกันในนามพระถังซัมจั๋ง พระผู้บำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญา และตั้งใจเดินทางจากฉางอันไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่ประเทศอินเดีย บนเส้นทางสายไหมระยะทางหลายหมื่นกิโลเมตร นานกว่า 17 ปี ใช้เวลาศึกษาพุทธศาสนาในอินเดียนานกว่า 5 ปีจนได้ทฤษฎี หลักคำสอน พระพุทธรูป ผ้าส่าหรีกลับมามากมาย หลังจากที่วัดแห่งนี้สร้างเสร็จท่านจึงได้เป็นเจ้าอาวาสคนแรกของวัดด้วยนั่นเอง ประวัติอึ้ง สถานที่จึ้งขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยที่คนทั่วโลกอยากจะมาเช็กอิน

          เดินทางข้ามเวลาจากสถานที่อายุนับพันปีสู่สตูดิโอยุคคลาสสิกกันบ้างที่ ‘Xi’an Film Street (西安电影制片厂)’ จุดเริ่มต้นของวงการภาพยนตร์จีนที่เผยแพร่ไปทั่วโลก ก่อตั้งเมื่อปี 1958 เป็นกลุ่ม Western Film Group 1 ใน 6 กลุ่มภาพยนตร์หลักของประเทศ สามารถกวาดรางวัลทั้งในและต่างประเทศได้มากกว่า 300 รางวัล ทั้ง Golden Palm Award, Golden Bear Award, Silver Lion Award in Cannes International Film Festival, Berlin International Film Festival and Venice International Film, leading the country มีการจัดแสดงนิทรรศการโปสเตอร์สะสมหลายพันแผ่น ถ้วยรางวัล อุปกรณ์ผลิตภาพยนตร์ ม้วนฟิล์ม เรียกว่าเป็นสวรรค์ของเด็กฟิล์มเลยก็ว่าได้ ส่วนข้างนอกก็ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ มีฉาก มีป็อปอัพ ให้เราถ่ายรูป และคาเฟ่น่ารัก ๆ ให้ได้ทำคอนเทนต์ด้วย

• การเดินทาง : จาก 𝐆𝐢𝐚𝐧𝐭 𝐖𝐢𝐥𝐝 𝐆𝐨𝐨𝐬𝐞 𝐏𝐚𝐠𝐨𝐝𝐚 สามารถเดินไปได้ประมาณ 800 เมตร
• Map : https://j.map.baidu.com/a3/UAr

          อย่างคาเฟ่ที่เรามาแวะพัก ‘Xiying coffee’ (西影咖啡) ร้านที่ไม่เป็นกระแสในหมู่ชาวต่างชาติ แต่สำหรับพี่จีน ตัวร้านมีให้เลือกนั่งทั้งอินดอร์ และเอาต์ดอร์ กิมมิกของร้านอยู่ที่การตกแต่งที่จะเน้นความคลาสสิก ใช้ของสะสมโบราณ เล่นแสงธรรมชาติอย่างอบอุ่นงดงาม บางมุมเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในภาพยนตร์ อาทิ ฉากชานชาลา 9¾ ในเรื่อง Haprry Potter หรือมุมกระจกหลากสีที่เหมือนหลุดไปอยู่ในอนิเมชันของจิบลิ เป็นไวบ์การกินดื่มที่ละมุนจนไม่อยากลุกไปไหนเลยทีเดียว

          เช้าวันนี้เราบิดขี้เกียจแล้วพุ่งตัวข้ามเมืองด้วยรถไฟความเร็วสูงสู่เมืองลั่วหยาง 1 ในเมืองหลวงโบราณ เคยเป็นเมืองของ 13 ราชวงศ์จีนโบราณที่มีเรื่องราวเล่าขานยาวนานกว่า 4,000 ปี อยู่ในรูทเส้นทางสายไหม อัดแน่นไปด้วยมรดกโลกจาก UNESCO ถึง 6 แห่ง พร้อมกับโบราณวัตถุที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ถึง 9,000 ชิ้น เรียกว่าเป็นขุมทรัพย์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแลยก็ว่าได้ สำหรับการเดินทางข้ามเมืองจากซีอานที่สะดวกที่สุด นอกจากการเหมารถแล้ว เราขอแนะนำว่าให้เริ่มต้นที่สถานี Xi’an North ก่อนทุกครั้ง เมืองนี้เรามาลงที่สถานี Luoyang Longmen จากนั้นก็ต่อแท็กซี่เข้ามาได้เลย

• Map : https://j.map.baidu.com/b2/wcgf

          พระเอกของเมืองนี้ยกให้ ‘Longmen Grottoes’ ถ้ำผาหลงเหมิน (龍門石窟) หรือที่เราเรียกกันว่าถ้ำหินประตูมังกร มรดกโลกยิ่งใหญ่ระดับจักรวาล ที่ชื่อว่าประตูมังกรก็เพราะทั้งสองฝั่งของหน้าผา มีแม่น้ำอี๋สุ่ยไหลผ่านตรงกลาง มองจากไกล ๆ ก็เหมือนประตูที่มีมังกรแล่นผ่าน ตลอดความยาว 1 กิโลเมตรของถ้ำจะมีงานสลักหินเรียงรายอยู่ ซึ่งมีอายุกว่า 1,530 ปี ตั้งแต่สมัยราชวงศ์เว่ยใช้เวลาต่อเติมมาหลายราชวงศ์เป็นเวลา 400 ปี ณ ปัจจุบันมีถ้ำผาแกะสลักและโพรง 2,300 แห่ง พระพุทธรูป 110,000 องค์ เจดีย์ 60 องค์ และศิลาจารึก 2,800 แผ่น ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาสนาทั้งสิ้น แต่ละชิ้นงานถูกแกะสลักอย่างบรรจง จึงไม่แปลกใจเลยที่ UNESCO จับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

          ไฮไลต์ที่โดดเด่นที่สุดในงานแกะสลัก เราขอยกให้พระพุทธรูปองค์ประธานนามว่า พระโพธิสัตว์ไวโรจนะ ตั้งตระหง่านอยู่ในถ้ำเฟิ่งเซียน องค์พระมีความสูงถึง 17.14 เมตร เป็นงานสลักที่ประณีตสื่ออารมณ์ด้วยพระพักตร์อันอิ่มเอิบสมบูรณ์ ดวงตาหลุบต่ำคล้ายมองลงมาเบื้องล่างที่มีผู้คนกำลังกราบไหว้ เชื่อกันว่าใบหน้าที่เห็นนี้ถอดแบบมาจาก พระนางบูเช็กเทียน ฮ่องเต้หญิงผู้โด่งดัง เนื่องจากพระองค์เป็นผู้ดำรัสให้สร้าง และมีความเชื่อว่าตนเองคือพระอริยเมตไตรยกลับชาติมาเกิดนั่นเอง

          แวบแรกเราตื่นตะลึงไปกับองค์ประกอบอันสมบูรณ์ของธรรมชาติ หน้าผาสูงกว่า 40 เมตรที่มีลำน้ำไหลผ่าน ห้อมล้อมด้วยสีเขียวสบายตา แต่พอมาดูรายละเอียดใกล้ ๆ แล้ว เรายังตื้นตันในความศรัทธาอันแรงกล้าของคนในสมัยก่อน ที่สามารถเจาะหินภูเขาให้กลายเป็นภาพศิลปะอันอ่อนช้อย ลองคิดดูว่าสมัยศตวรรษที่ 5 ที่ยังไม่มีวิวัฒนาการด้านเครื่องจักร เขาต้องใช้แรง ใช้ความพยายามกันขนาดไหน แค่นั่งนึกน้ำตาก็รื้นขึ้นมาไม่รู้ตัว การได้มาเห็นด้วยตาเนื้อเหมือนได้ให้ของขวัญชิ้นโตแก่ตัวเองเลยจริง ๆ

          สปอตถ่ายรูปสุดป็อปของเหล่าอินฟลูชาวจีน ‘Luoyi Ancient City’ เมืองโบราณที่ให้เราเดินทางข้ามกาลเวลา มาสู่เมืองหลัวอี้ ชื่อเก่าสมัยโบราณของลั่วหยาง ในนี้เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมมากมาย อาทิ หอคอยลั่วหยางเหวินเฟิง หอจำลองสูงสง่าที่ถูกทำลายสมัยราชวงศ์หมิง กำแพงเมืองโบราณจินหยวน สะพานหินทรงคลาสสิกที่เห็นในโทรทัศน์จนชินตา พาดทับผ่านทะเลสาบที่กำลังสะท้อนภาพอาคารยามแสงตกกระทบ ประดับประดาด้วยแผงโคมแดงที่ห้อยตกแต่งเมืองสร้างความงดงามทั้งกลางวันและกลางคืน โดยกลุ่มอาคารที่เห็นนี้ยังคงคึกคักไปด้วยร้านขายของที่ระลึก คาเฟ่ ร้านอาหาร และที่พัก ไม่ว่าจะกวาดเลนส์กล้องไปทางไหนก็เจอแต่มุมถ่ายรูปปัง ๆ ทั้งนั้น

• การเดินทาง : อยู่ใกล้ ๆ กับสถานี LUOYIGUCHENG (洛邑古城)
• Map : https://j.map.baidu.com/7c/o2A

          เดินเล่นมาเรื่อย ๆ เพื่อความต่อเนื่อง ความคลาสสิกแต่สปอตนี้จะช่วยชูใจในเรื่องของกิน ‘Luoyang West Street’ สตรีทฟู้ดที่ตอบโจทย์สาวกินดุหนุ่มกินจุและรักในความหลากหลาย เป็นตลาดที่ตั้งอยู่ด้านตะวันตกเริ่มตั้งแต่ประตูลี่จิงไปจนถึงหอกลอง สิ่งแรกที่เราบรรยายถึงถนนนี้ได้คือกลิ่นอายความโบราณที่ยังคละคลุ้ง มองไปทางไหนก็ยังคงเห็นความเป็นชาติพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย รูปแบบอาหาร ของฝาก ของที่ระลึก สถาปัตยกรรมดั้งเดิมประหนึ่งได้ย้อนไปสมัยราชวงศ์ซุยและถังเมื่อ 3,000 ปีก่อนเลยทีเดียว

          พอพูดถึงอาหารจีนเพื่อนบางคนอาจจะนึกถึงแต่ของมัน ๆ เลี่ยน ๆ แต่ที่นี่ถือว่าเปิดโลกอาหารจีนให้พวกเธอได้อย่างดี เพราะเขาเพิ่มเมนูที่ถูกปากแขกบ้านแขกเมือง ทั้งหมาล่าเสียบไม้หอมเครื่องเทศชาสะใจ อีกเมนูที่ต้องลองสักครั้งในชีวิตคือเต้าหู้เหม็น กลิ่นชวนสลบแต่รสชาตินัวเกินคาด กลายเป็นของโปรดไปโดยปริยาย แต่แนะนำให้กินตอนร้อน ๆ เท่านั้น แล้วยังมีของคาวอย่างก๋วยเตี๋ยวเนื้อซุปกลมกล่อมที่กินคู่กับแป้งนานแบบอินเดีย ของหวานโบราณทำจากแป้งหนึบ ๆ ห่อถั่วแดง ห่อเผือก และขนมอบฟีลขนมเปี๊ยะ ไปจนถึงเครปไอศกรีมสมัยใหม่ สามารถเลือกกินจนกางเกงปริกันได้เลย

          ทำแพลนดีมีชัยไปกว่าครึ่ง จากที่เมื่อวานเที่ยวเมืองโบราณกลับมานอนที่ซีอานจนเต็มอิ่ม วันนี้เราก็ยิงยาวจากสถานี Xi’an North ไปยัง Huashan จากนั้นนั่งรถต่อมาที่ ‘Huashan Mountain’ 1 ใน 5 ภูเขาอันยิ่งใหญ่ของจีน ตั้งอยู่ในเมืองชานซี ขึ้นชื่อเรื่องความงดงาม ความสูงชัน โดยยอดเขาที่สูงที่สุดนั้นมีความสูง 2,160 เมตรจากระดับน้ำทะเล ตั้งอยู่ทางใต้ เกิดจากปรากฏการณ์การเคลื่อนตัวของเปลือกโลกเมื่อ 220-100 ล้านปีก่อน ถือเป็นรูทเดินภูเขาที่อันตรายที่สุดเพราะต้องเดินเลาะริมผา มีทาง Hiking แสนชัน แต่ก็ยังมีเส้นทางเดินง่าย ๆ ให้สายชิลอย่างเราเช่นกัน บอกก่อนว่าเคลียร์เม็มการ์ด ชาร์จแบตกล้องมาให้พร้อม เพราะตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาเราแทบไม่หยุดกดชัตเตอร์เลย มันสวยมหัศจรรย์เปี่ยมมนต์ขลังจนเราไม่อยากพลาดโมเมนต์สักวินาที

          สำหรับการเที่ยวบนนี้สามารถจัดทริปเดินได้ถึง 2 วัน เก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้น-ตก แต่ถ้ามาชิล ๆ เอาฟีล แนะนำให้ทำแบบเรา คือนั่งกระเช้าขึ้นมาใช้เวลาราว 10 นาทีเท่านั้น (หากเดินจะใช้เวลากว่า 5-6 ชม.) ด้านบนจะเป็นเส้นทางเชื่อมต่อกันทั้ง 5 ยอด คือ North Peak (Cloud Terrace Peak) กระเช้าที่เราขึ้นมา, South Peak (Landing Wild Geese Peak), West Peak (Lotus Flower Peak), Middle Peak (Jade Maiden Peak) และ East Peak (Facing Sun Peak) จุดที่มีกระเช้าขึ้นอีกด้าน แต่ละยอดใช้เวลาเดินต่อกันประมาณ 20-60 นาที เราเลือกที่จะลงหลักปักฐานอยู่ที่ North Peak เพราะด้วยสังขารและเวลา แค่เดินปีนป่ายถ่ายรูปก็เริ่มหอบแล้ว

          แต่ภาพที่เห็นตรงหน้าช่วยเรียกแรงฮึดขึ้นมาได้ทันที กับเหล่าภูเขาแกรนิตสูงใหญ่สลับทับซ้อนกันอย่างหนาแน่น เห็นยอดเขาอีกด้านที่มีสิ่งปลูกสร้างตั้งตระหง่านแต่มีขนาดเล็กจิ๋วเหมือนของเล่น พร้อมลมเย็น ๆ พัดผ่านอยู่ตลอดเวลา เท่านี้ก็ช่วยชาร์จพลังให้ได้อย่างเต็มเปี่ยม ส่วนไฮไลต์สำหรับสายลุยแนะนำให้ไปเส้นทางเดินริมผาในตำนาน Plank Walk ที่อยู่ตรง South Peak จุดนี้แหละของแทร่เรื่องความเสียวเลย

          หลังจากที่ได้ตื่นตะลึงไปกับการเล่นใหญ่เล่นโตในธรรมชาติของพี่จีนไปแล้ว เย็นนี้เรากลับเข้ามาเที่ยวใกล้ ๆ กับที่พักสักหน่อย เป็นอีกสปอตไอคอนประจำซีอาน ‘Bell Tower’ หอระฆังที่สร้างตั้งแต่ช่วงต้นราชวงศ์หมิง อยู่มานานกว่า 600 ปี ก่อนจะถูกขยับจากที่ตั้งเดิม 1,000 เมตร ให้มาอยู่ใกล้กับใจกลางเมืองมากที่สุด ลักษณะเป็นอาคารอิฐไม้ 2 ชั้น สีเขียวแดงมีงานแกะสลักแสนบรรจง ฐานด้านล่างเป็นแท่นอิฐสีเทาขนาดใหญ่ ทำให้หอมีความสูงถึง 36 เมตร เราจึงสามารถเห็นทิวทัศน์ของเมืองซีอานได้กว้างไกลในทุก ๆ ด้าน แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดในเมือง ยิ่งยามค่ำคืนหอระฆังนี้จะเปิดไฟส่องสว่างเป็นสีทองดั่งสมบัติอันเลอค่าที่ไม่อาจละสายตาได้เลย

• Map : https://j.map.baidu.com/41/S8

          วันสุดท้ายนี้เราขอเล่นใหญ่ด้วยการเช่าชุดแต่งหน้าแต่งตัวเป็นสาวจีนย้อนยุค มาเดินบนถนนที่ร่ำรวยไปด้วยวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ‘Shuyuanmen’ ฟีลลิงพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งขนาดใหญ่ ให้เราชมสถาปัตยกรรมโบราณในช่วงของราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง หรือตั้งแต่ปี 1368-1911 บนถนนที่มีความยาว 570 เมตรนี้ บ่งบอกรากเหง้าของชาวซีอานได้อย่างดี ทั้งความร่ำรวยด้านเศรษฐกิจ ผู้คนมีการศึกษาเพราะเป็นที่ตั้งของ Guanzhong Shuyuan สถาบันศึกษาชั้นนำสมัยราชวงศ์หมิง, ซุ้มประตูแกะสลักคำว่า ‘Shu Yuan Men’ ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าโบราณ งานเพ้นท์จีนที่มีศิลปินมานั่งวาดให้เราชมกันสด ๆ ถือเป็นอีกสีสันเมืองซีอานที่ไม่ควรพลาดเลย

• การเดินทาง : สถานี YONGNINGMEN (永宁门)
• Map : https://j.map.baidu.com/0f/1Gk

          สิ่งที่พึงระวังสำหรับที่นี่ คงเป็นความหลงใหลในงานอาร์ตแบบจี๊นจีนที่ทำให้เรายืนมองเพลินจนแทบลืมเวลา ตามทางเราจะเห็นศิลปินมาสร้างผลงานด้วยเทคนิคแบบต่าง ๆ ทีเด็ดคือศิลปะพู่กันจีนอันลือเลื่อง ที่มีลายเส้นคมชัดปลายตวัดสื่ออารมณ์ อยู่ทั้งบนพัด แผ่นกระดาษม้วน โดยสามารถเลือกซื้อเป็นของฝากได้ นอกจากนี้ยังมีงานแขนงอื่น ๆ เช่น งานปั้นดินเผา โมบายลายผีเสื้อ มังกรสีสดใส แท่งหยกสลักนามสกุล แต่ละอย่างมีความเป็นจีนผสมอยู่ 100% ให้ความรู้สึกเหมือนมาเดิน street art เฉพาะทางยังไงอย่างนั้น 

          ชุดปังแล้วโลเคชันจะน้อยหน้าไม่ได้ พิกัดต่อมา ‘Wanfeng Cafe’ (晚风观景茶咖酒馆) คาเฟ่บนดาดฟ้ากิมมิกเก๋ เหมือนเรามีวิทยายุทธเหาะเหินเดินบนหลังคาได้ ด้วยความที่ร้านถูกล้อมรอบไปด้วยอาคารแบบเก่าที่มีหลังคากระเบื้องสีดำแสนคลาสสิก พอถ่ายรูปออกมาจึงได้เฟรมเหมือนเรายืนอยู่บนหลังคานั่นเอง ยิ่งได้ใส่ชุดจีนโบราณมาถ่ายรูปแล้วเหมือนหลุดมาจากซีรีส์เลยทีเดียว ด้านเครื่องดื่มขนมเราขอให้คะแนนการจัดเสิร์ฟเต็มสิบ ด้วยการทำลาเต้อาร์ตมาในแก้วชาโบราณ พร้อมขนมอัดพิมพ์รูปดอกไม้ จัดวางบนถาดอย่างถูกต้อง เหมาะสำหรับสายคอนเทนต์สุด ๆ

• Map : https://j.map.baidu.com/c2/oVfi

          ใครที่คิดว่าแต่งตัวแบบนี้จะต้องเขินแน่ ๆ ขอแจ้งให้ทราบว่าคนที่นี่แต่งกันเป็นปกติม๊ากกกก!! รับรองว่าเดินไปตรงไหนมีพสจีนแต่งเป็นเพื่อนแน่นอน แม้จะอยู่ในสถานที่แสนโมเดิร์นอย่าง ‘Blue Sea Breeze Manxiang’ (藍海風·漫巷) ก็ไม่เว้น ที่นี่เป็นห้างสรรพสินค้าที่มีธีมเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่ โถงสูง 18 เมตรที่ทะลุจนเห็นเพดานชั้นบนสุด ความยาว 240 เมตร อัดแน่นไปด้วยหนังสือหลายแสนเล่ม จัดวางตามช่องอย่างเป็นระเบียบ ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบและแอร์เย็นฉ่ำ นอกจากถ่ายรูปแล้วยังเหมาะแก่การนั่งอ่านหนังสืออย่างมาก ของชอปปิงส่วนใหญ่จะเป็นของดีไซน์ มองจากคอนเซปต์แล้วเหมือนที่นี่จะเป็นอีกเวทีโชว์ผลงานสำหรับเหล่าศิลปินหน้าใหม่ที่มีผลงานจึ้ง ๆ อีกด้วย

• การเดินทาง : เราเรียกแท็กซี่ผ่าน DiDi มาถึงเลย
• Map : https://j.map.baidu.com/8a/lY6

          สุดท้ายนี้เราขอลาไปกับแลนด์มาร์กที่อยู่คู่ซีอานมาอย่างยาวนาน ‘Xi’an City Wall’ ป้อมปราการที่สมบูรณ์ที่สุดที่ยังหลงเหลือ ยืนหยัดหนักแน่นแบบที่กาลเวลาไม่สามารถทำอะไรมันได้ กับอายุที่มากถึง 654 ปี มีความยาว 13.7 กิโลเมตร สูง 12 เมตร หนาถึง 15-18 เมตร ด้านบนมีทางเดินกว้าง 12-14 เมตร พร้อมคูน้ำล้อมรอบ มีเชิงเทิน 98 หลัง ด้านนอกกำแพงยังมีเชิงเทินอีก 5,948 จุด สำหรับลอบมองและซุ่มยิงศัตรู จึงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในระบบป้องกันทางทหารโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดที่เดินได้ไม่ถึงเสี้ยวก็เมื่อยขาแล้ว เขาจึงนิยมเช่าจักรยานและรถไฟฟ้าเที่ยวชมรอบ ๆ กัน

• การเดินทาง : สถานี YONGNINGMEN (永宁门)
• Map : https://j.map.baidu.com/34/a9n

          เราชอบตรงที่ทางเดินบนกำแพงค่อนข้างเรียบเสมอกัน ใส่ชุดกระโปรงยาวแบบนี้มาก็ไม่สะดุด วิวที่มองเห็นจากบนนี้ก็ช่างคอนทราสต์ ด้านหนึ่งเป็นป่าคอนกรีตอัดแน่นไปด้วยอาคารรูปทรงโมเดิร์น อีกด้านเป็นสวนที่มีต้นไม้ใหญ่แต้มความเขียวฉ่ำตา ถือเป็นการเบลนด์เมืองเก่า-เมืองใหม่ และธรรมชาติเข้ากันได้อย่างลงตัว ที่สำคัญมุมถ่ายรูปเยอะมากจนรู้สึกคุ้มค่ากับชุดที่เช่ามาสุด ๆ เป็นโลเคชันสุดท้ายที่เพิ่มความเสน่หาที่เรามีให้กับเมืองซีอานได้เป็นเท่าตัวเลย...

          ถึงเราจะรู้ว่าพี่จีนเขาพยายามพัฒนาประเทศให้กลายเป็นประเทศท่องเที่ยวอันสะดวกสบาย แต่ก็ถือว่าทำได้ดีเกินคาดเราไปมาก โดยเฉพาะเมืองซีอาน ที่เขามีทั้งตัวเลือกการเดินทางสุดจึ้ง ตั้งแต่รถไฟความเร็วสูง แอปเรียกรถหมดปัญหาเรื่องโก่งราคา สถานที่ท่องเที่ยวสะอาดสะอ้านมีการจัดการที่ดี การปรับภูมิทัศน์เมืองให้ผสมผสานความเก่าใหม่ได้อย่างแยบยล เหล่าวัยรุ่นเทสต์ดีนิสัยน่ารักมาช่วยเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อจีนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่เสียแรงเลยที่ปีนี้เราตั้งใจบินเที่ยวจีนแบบรัว และแน่นอนว่าทุกทริปของเราจะต้องเดินทางไปพร้อมกับแอร์เอเชีย

ด้วยรัก
บันทึกคนขี้เที่ยว