ด้านมืดของ "อารยธรรมเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia)" "อารยธรรมเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia)" ได้ชื่อว่าเป็นเสมือนแหล่งกำเนิดของอารยธรรมต่างๆ เป็นอารยธรรมที่มนุษย์เริ่มมีการร่างกฎหมาย สร้างเมืองที่ใหญ่โต และเริ่มเข้าสู่สิ่งที่เรียกว่า "ความเจริญ" หากแต่เมื่อมีด้านบวก ก็ย่อมต้องมีด้านลบตามมา เราลองมาดูอีกด้านหนึ่งของอารยธรรมเมโสโปเตเมียกันครับ เริ่มกันที่เรื่องของระบบยุติธรรม ซึ่งก็ต้องบอกว่ากฎหมายของเมโสโปเตเมียนั้นเป็นอะไรที่คนในยุคปัจจุบันอาจจะมองว่าไม่ได้มาตรฐานเลยและยากที่จะยอมรับ "ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี (Code of Hammurabi)" ได้ชื่อว่าเป็นประมวลกฎหมายฉบับแรกๆ ของโลก ได้เริ่มบังคับใช้เมื่อราว 1,754 ปีก่อนคริสตกาล หากแต่หลักการ "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" ในประมวลกฎหมายนี้อาจจะยังไม่มีความยุติธรรมนัก บทลงโทษต่อผู้กระทำผิดนั้น ถึงแม้จะเป็นความผิดกรณีเดียวกัน หากแต่ก็มีเรื่องของสถานะทางสังคมเข้ามาเกี่ยวข้อง ยกตัวอย่างเช่น หากมีคนคนหนึ่งใช้มีดแทงบุคคลอีกคนหนึ่งที่มีสถานะหรือยศศักดิ์สูงกว่า คนที่กระทำผิดจะได้รับโทษที่รุนแรงกว่าการแทงบุคคลที่มีสถานะสังคมในระดับเดียวกัน หากอาคารบ้านเรือนพังถล่มลงมา ทำให้บุตรชายของประชาชนที่เป็นเสรีชนเสียชีวิต บุตรชายของผู้ก่อสร้างอาคารก็จะต้องถูกฆ่าเช่นกัน แต่ในทางกลับกัน หากเหยื่อเป็นเพียงทาส ผู้ที่ก่อสร้างอาคารก็อาจจะมีโทษเพียงแค่จ่ายเงินค่าปรับเท่านั้น เรียกได้ว่ากฎหมายนี้ไม่ได้ยุติธรรมซะทีเดียว บทลงโทษยังคงมีการผูกกับสถานะทางสังคมด้วย เรื่องต่อมา เป็นเรื่องของสุสานในเมืองอูร์ (Ur) ในยุค 20 (พ.ศ.2463-2472) มีการขุดพบสุสานเมืองอูร์ และจากการตรวจสอบก็ทำให้ทราบว่าสุสานแห่งนี้เป็นที่ฝังศพที่ตายอย่างน่าเวทนา มีการพบศพในสุสานกว่า 74 ศพ ส่วนมากเป็นหญิงสาวซึ่งคาดว่าเป็นข้ารับใช้ในราชสำนัก โดยศพนั้นตกแต่งด้วยทองและหินมีค่าจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าศพเหล่านี้ล้วนถูกบูชายัญ คาดว่าศพเหล่านี้ถูกยาพิษจนตาย โดยน่าจะถูกฆ่าเพื่อให้วิญญาณตามไปรับใช้องค์พระประมุขในโลกหลังความตาย และเมื่อพูดถึงการบูชายัญ ก็ต้องพูดถึงเรื่องการสังหารทารกด้วย ในยุคนั้น การฆ่าเด็กทารกนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก มักจะมีการฆ่าทารกอยู่เสมอเพื่อป้องกันไม่ให้พ่อแม่ที่ไม่มีความพร้อมดูแลบุตรและเพื่อควบคุมจำนวนประชากร และบางครั้งก็เป็นการฆ่าด้วยความเชื่อที่ว่าจะทำให้เทพเจ้าพึงพอใจ จากหลักฐานทางโบราณคดีชี้ให้เห็นว่ามีการบูชายัญเด็กทารก โดยเป็นไปเพื่อทำให้เทพเจ้าพึงพอใจ โดยบางศพทารกนั้น พบว่าที่กะโหลกศีรษะนั้นมีรอยร้าว แสดงให้เห็นว่าถูกฆ่าเพื่อทำการบูชายัญ ต่อไปคือเหล่าทหาร "จักรวรรดิอัสซีเรีย (Assyrian Empire)" เป็นจักรวรรดิที่มีกองทัพเกรียงไกร เหล่าทหารต่างกล้าหาญและโหดเหี้ยม หากแต่จากเรื่องราวบนรูปแกะสลักที่พบ ทำให้พอทราบว่าทหารหลายนายนั้นต้องเผชิญกับสิ่งที่ทหารหลายคนต้องพบเจอ นั่นคือ "โรคเครียดภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะทือนขวัญ" หรือ "PTSD" จริงๆ แล้วผู้คนเริ่มรู้จัก PTSD ในสมัยศตวรรษที่ 20 หากแต่จากบันทึกของเมโสโปเตเมียก็ทำให้ทราบว่าเหล่าทหารก็พบเจอกับอาการทางจิตที่คล้ายคลึงกับ PTSD มีบันทึกจากเมื่อยุค 700 ปีก่อนคริสตกาล ได้บอกเล่าว่ามีทหารนายหนึ่งถูกวิญญาณของผู้ที่ตนสังหารตามหลอกหลอน ทำให้ทหารนายนี้มีอาการทางจิต มักจะฝันร้าย และมีอาการหลายๆ อย่างที่คล้ายคลึงกับ PTSD และเมื่อพูดถึงอาการป่วย ก็มีเรื่องที่น่าคิดอีก ในสมัยเมโสโปเตเมียโบราณ ผู้คนเชื่อว่าอาการป่วยเกิดจากการลงโทษของพระเจ้า ลงโทษมนุษย์ที่เต็มไปด้วยบาป หรือไม่ก็เกิดจากอำนาจของปีศาจ การรักษาก็มีการใช้ยาคล้ายๆ กับในปัจจุบัน รวมทั้งการบำบัดทางร่างกาย และมีการใช้เวทมนตร์ต่างๆ ด้วย และทำให้การรักษานั้นไม่ได้มาตรฐานเท่าไรนัก อาจจะเรียกได้ว่านี่ก็เป็นอีกด้านหนึ่งของอารยธรรมที่รุ่งเรืองเช่นอารยธรรมเมโสโปเตเมีย https://medium.com/lessons-from-history/the-disturbing-side-of-ancient-mesopotamia-61a06325067f https://flipboard.com/topic/worldhistory/-/a-24hcy4EVQKmUH5R3LTAZHQ%3Aa%3A1458451385-%2F0 https://www.grunge.com/162587/messed-up-things-that-happened-in-ancient-mesopotamia/ https://medium.com/lessons-from-history/nine-disturbing-practices-that-were-considered-normal-in-ancient-mesopotamia-151126530eec
แสดงความคิดเห็น