รีวิวซีรีส์ The Sandman | ราชาแห่งความฝันตามหาของที่หาย เมื่อราชาแห่งฝันถูกจองจำหลายสิบปี กลับออกมาเพื่อตามหาของที่ทำหล่นหาย ผลงานนักเขียนล้ำวิสัยทัศน์ นีล ไกแมน

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Netflix
นีล ไกแมน คือชื่อของนักเขียนล้ำวิสัยทัศน์ คนที่มีผลงานทั้งนิยายขนาดสั้นและยาว คอมิก นิยายภาพ และแน่นอนมีภาพยนตร์จากผลงานของเขาด้วย หลายคนอาจคุ้นเคยกับงานอย่าง ‘Coraline’, ‘American Gods’ และ ‘Stardust’ แต่วันนี้ เราจะมาว่ากันที่ซีรีส์ในบริการเน็ตฟลิกซ์เรื่อง ‘The Sandman’ ผลงานจากคอมิกที่ลือเลื่องที่สุดของเขา

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Netflix
ภาพจากซีรีส์เรื่อง ‘The Sandman’ ทางเน็ตฟลิกซ์
ซีรีส์ที่ดัดแปลงสร้างมาจากคอมิกเรื่องนี้ในซีซันแรกมีจำนวน 10 ตอนด้วยกัน และเริ่มออนไลน์สตรีมมิ่งให้ได้ชมกันไปตั้งแต่ 5 สิงหาคม 2022 เป็นต้นมา เรื่องราวของมันก็เกี่ยวกับราชันแห่งความฝันที่บังเอิญถูกมนุษย์จอมเวทย์จับมาขังไว้เป็นนานจนถึงวันที่ได้กลับออกไปอีกครั้ง มันได้กลายเป็นการเดินทางครั้งใหม่ของปีศาจตนนี้
ที่จะพาเราไปพบกับตัวละครชื่อคุ้นหูในโลกแฟนตาซีแบบดาร์กๆ ใบนั้น
ที่จะพาเราไปพบกับตัวละครชื่อคุ้นหูในโลกแฟนตาซีแบบดาร์กๆ ใบนั้น
บทความนี้มีอะไรบ้าง?
1. เรื่องย่อซีรีส์ ‘The Sandman’
2. รีวิวซีรีส์ ‘เดอะ แซนด์แมน’
2.1 ภารกิจตามหาของที่ทำหาย
2.2 การเดินทางของราชาแห่งฝัน
2.3 โดยรวมของ ‘เดอะ แซนด์แมน’
3. รายละเอียดเกี่ยวกับซีรีส์
4. เดอะ แซนด์แมน
4.1 7.5
2. รีวิวซีรีส์ ‘เดอะ แซนด์แมน’
2.1 ภารกิจตามหาของที่ทำหาย
2.2 การเดินทางของราชาแห่งฝัน
2.3 โดยรวมของ ‘เดอะ แซนด์แมน’
3. รายละเอียดเกี่ยวกับซีรีส์
4. เดอะ แซนด์แมน
4.1 7.5
เรื่องย่อซีรีส์ ‘The Sandman’
ลอร์ดมอร์เฟียส (Tom Sturridge จากซีรีส์เรื่อง ‘Irma Vep’ และหนังเรื่อง ‘Far from the Madding Crowd’) หรือในชื่อหนึ่งว่า ดรีมออฟดิเอนด์เลส ปีศาจราชาแห่งความฝันที่ดันถูกจอมเวทย์มนุษย์อัญเชิญไปข่มขู่ให้ฟื้นคืนชีวิตลูกชาย ส่งผลต่อสมดุลของโลกในทันที หลายคนหลับใหลอยู่ในฝันไม่ได้ตื่นขึ้นมา ด้านจอมเวทย์นั้น เมื่อพบว่าเรียกมาผิดตัวจึงริบอุปกรณ์ของดรีมไว้ทั้งหมด ก่อนภายหลังจะถูกขโมยออกมา
หลังถูกจองจำอยู่ในห้องใต้ดินเนิ่นนานหลายสิบปี ในที่สุด ดรีมก็ออกมาจนได้ แต่ก็กลับพบว่าอาณาจักรแห่งความฝันสุดอลังการที่เคยสร้างไว้บัดนี้ทรุดโทรมจนรกร้างสมควรถูกบูรณะฟื้นฟู ทั้งยังเหลือเพียง ลูเซียนน์ (Vivienne Acheampong) บรรณารักษ์ที่ยังคงรอเขาอยู่เท่านั้น ส่วน โครินเธียน (Boyd Holbrook) ฝันร้ายผู้คลั่งไคล้การฆ่าคนก็หนีไปแล้วกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขา
ตัวอย่างซีรีส์ ‘The Sandman’ อย่างเป็นทางการ
แต่เพราะสภาพที่ไร้พลังประกอบกับอุปกรณ์สำคัญ 3 อย่าง ไม่ว่าจะเป็นถุงทราย หมวก และทับทิม ล้วนหายกระจัดกระจายไปหมด ทำให้มอร์เฟียสต้องเริ่มต้นด้วยการติดตาม ค้นหาและเอาคืน
รีวิวซีรีส์ ‘เดอะ แซนด์แมน’
ทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้นเพราะการจับผิดฝาผิดตัวของพวกมนุษย์ในปี 1916 เหล่าจอมเวทย์รวมตัวกันเพื่ออัญเชิญ เดธ (หรือมรณะ) เพื่อบีบให้ช่วยพาลูกชายสุดรักสุดหวงของจอมเวทย์ผู้หนึ่ง แต่ปีศาจที่จับมาดันเป็น ‘ดรีม’ ผู้เป็นพี่น้องของ ‘เดธ’ แม้จะรู้ว่าเรียกมาผิดตัว แต่ก็ไม่ยอมปล่อยออกไป ยังพยายามจะบีบบังคับในสิ่งที่ปีศาจตนนี้ให้ไม่ได้
ภารกิจตามหาของที่ทำหาย
ในช่วงต้นของซีรีส์จะเล่าถึง ‘ดรีม’ ปีศาจผู้ครอบครองอาณาจักรแห่งความฝันของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล (ไม่เว้นแม้แต่ในนรก) เขาคือผู้ที่มีอำนาจมากในความฝันของผู้อื่น สามารถดลบันดาลทุกสิ่งใดตามใจปรารถนาขอเพียงผู้นั้นหลับฝัน แต่ทุกอย่างกำลังจะพังทลายเพียงเพราะการถูกจับขังไว้ในกรงแก้วทรงกลม สุดท้าย เขาปิดวาจาและรอคอยเรื่อยมาจนถึงวันนั้น แต่สิ่งที่เขาได้กลับออกมาพบกลับเป็นอาณาจักรแห่งความฝันที่เปลี่ยวร้างและทรุดโทรม ทั้งอีควิปเมนต์คู่กายทั้งสามก็ยังถูกขโมยจนกระจัดกระจายไปด้วย
ภารกิจในช่วงแรกในซีรีส์จึงเป็นการตามหาของที่หายนั่นเอง
ภารกิจในช่วงแรกในซีรีส์จึงเป็นการตามหาของที่หายนั่นเอง

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Netflix
ภาพจากซีรีส์เรื่อง ‘เดอะ แซนด์แมน’ ทางเน็ตฟลิกซ์
แต่ในความรู้สึกของข้าพเจ้า แม้เรื่องมันจะดำเนินสลับกันไประหว่างของแต่ละชิ้น งานเทคนิคด้านภาพก็นับว่าโอเคไม่ได้มีอะไรเลวร้าย แต่กลับไม่รู้สึกตื่นเต้นกับช่วงเวลานี้สักเท่าไหร่ พยายามก้าวต่อไปจนผ่านตอนสี่ตอนห้าจึงได้พบกับเรื่องราวที่แตกต่าง
การเดินทางของราชาแห่งฝัน
แม้แรกๆ อาจทำให้ผมรู้สึกเฉยๆ แต่เมื่อผ่านไปสักพักก็เริ่มมีบางอย่างที่พาให้รู้สึกว่ามันน่าสนใจ อย่างเช่น การต่อสู้เชิงจินตนาการและเวทมนตร์ในขุมนรกของ ดรีม กับ ลูซิเฟอร์ มอร์นิงสตาร์ (ที่แสดงโดย Gwendoline Christie คนที่เล่นเป็น Brienne of Tarth ในซีรีส์ ‘Game of Thrones’ นั่นแหละครับ) หลังจากนั้น ก็เหมือนดรีมจะพาเราเดินทางพบเจอกับสถานการณ์ใหม่ๆ อย่างในตอนที่ 5 ที่เซ็ตทุกอย่างไว้ในสถานที่แห่งเดียว ร้านอาหารแห่งนั้นที่เกิดเหตุการณ์บางอย่าง บทที่เขียนเอาไว้อย่างแยบยล หรืออย่างตอนที่ 6 ที่ใช้การเล่าที่เปลี่ยนผ่านไปทุก 100 ปี ที่ทำให้มองเห็นสภาพของบ้านเมืองที่เปลี่ยนแปลง บริบทของสังคมที่เปลี่ยนไป กับใจคนผู้ไม่เคยคิดอยากตาย

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Netflix
ภาพจากซีรีส์เรื่อง ‘เดอะ แซนด์แมน’ ทาง Netflix
ยิ่งเรื่องราวดำเนินผ่านไป ผู้ชมจะยิ่งได้พบและรู้จักกับพี่น้องของดรีมมากขึ้นเรื่อยๆ ได้มองเห็นลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันไปของแต่ละตัวละคร โดยเฉพาะ ‘เดธ’ (Kirby Howell-Baptiste) ที่มาในรูปของผู้หญิงผิวดำท่าทางเป็นมิตร หรืออย่าง ‘ดีไซเออร์’ (Mason Alexander Park) ที่มาในร่างของชายผิวขาวผู้มีลักษณะ LGBTQ+ เอาเข้าจริง เรื่องราวใน ‘เดอะ แซนด์แมน’ ก็มีตัวละครอยู่หลายตัวเลยทีเดียวที่มีลักษณะแบบนั้น ซึ่งส่วนตัวผมก็มองว่า ปีศาจหรือเทพจะเป็นเพศใดก็ได้ทั้งนั้น ความรักก็เช่นกัน จะปีศาจหรือมนุษย์จะรักกับเพศใดก็ถือเป็นเรื่องปกติ เพศสภาพเป็นเพียงสิ่งที่ยีนกำหนด ส่วนลักษณะของเทพและปีศาจอาจจะไม่มีเพศที่แน่นอนตายตัวอยู่ก่อนแล้วก็ได้เช่นกัน
โดยรวมของ ‘เดอะ แซนด์แมน’
ถ้าเรามองกันถึงด้านงานภาพแล้ว ต้องบอกว่าน่าชื่นชมในด้านการจัดองค์ประกอบฉาก หลายตอนนี่เล่นเอาหลายยุคหลายสมัยมาใส่เข้าด้วยกัน บางตอนก็ไปเล่นกันที่นรก บางตอนเน้นฉากอาณาจักรแห่งความฝัน ซึ่งก็พบว่าแม้ส่วนใหญ่ งานซีจีจะค่อนข้างดีแต่ก็ยังพอมีบางส่วนที่ยังไม่เนียนเท่าไหร่ โดยรวมก็ยังถือว่าผ่าน ขณะที่ดนตรีประกอบก็นับว่าไม่เลว ช่วยส่งเสริมงานภาพได้ดีพอสมควร แต่ที่โดดเด่นคงเป็นเรื่องงานบทเสียมากกว่าซึ่งก็เป็นเพราะได้วัตถุดิบที่ดีอยู่ก่อนแล้วนั่นเอง

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Netflix
โปสเตอร์เวอร์ชันไทยของ ‘เดอะ แซนด์แมน’ ทางเน็ตฟลิกซ์
เรื่องราวในช่วงที่เหลือนั้นสำหรับผมมองว่าน่าสนใจยิ่งกว่าการตามหาอีควิปเมนต์ทั้งสามสิ่งนั่นเสียอีก มันมีการดำเนินเรื่องที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน ทั้งยังมีลักษณะการเล่าที่เฉพาะตัว เหมือนเป็นการเดินทางของปีศาจหรือเทพสักตนหนึ่งที่พยายามเข้าใจโลกของมนุษย์ เรียนรู้จากด้านมืดของพวกเรา ที่มีทั้งความละโมภอยากได้ไม่รู้จบ รักจนมุ่งหมายสิ่งที่รักกลับคืน อารมณ์ต่างๆ ที่ชักพาสู่บาปและความเลวร้าย ขณะเดียวกันก็เข้าใจโลกของตนเองไปพร้อมกันด้วย
ภาพลักษณ์อาจจะดูหม่นเทาอยู่สักหน่อยหนึ่ง เพราะมันไม่ใช่ซีรีส์แฟนตาซีที่เหมาะสำหรับเด็กนัก จึงค่อนข้างจะแทรกใส่ปรัชญาเข้าไปในนั้น ทำให้รู้สึกว่ามันน่าสนใจมากขึ้นตามจำนวนตอน อย่างไรก็ตาม แม้จะมองเห็นแง่งาม แต่ก็คิดว่าซีรีส์เรื่องนี้น่าจะตอบโจทย์คนบางกลุ่ม และไม่ได้สนใจในตลาดคนส่วนใหญ่มากมายนัก ส่วนหนึ่งเพราะมันค่อนข้างดาร์ก กับอีกส่วนคือ มันต้องใช้การตีความในหัวผู้ชมนั่นเอง
รายละเอียดเกี่ยวกับซีรีส์
ชื่อซีรีส์ | The Sandman / เดอะ แซนด์แมน |
ผู้สร้าง | Neil Gaiman, David S. Goyer, Allan Heinberg |
ผู้เขียนบท | |
นักแสดง | Tom Sturridge, Vivienne Acheampong, Boyd Holbrook, Patton Oswalt, Jenna Coleman |
แนว/ประเภท | Drama, Fantasy, Horror, Mystery, Sci-Fi |
จำนวนตอน | ซีซัน 1: 10 ตอน |
ช่องทางรับชม | Netflix |
เริ่มออกอากาศ | 5 สิงหาคม 2022 |
ผู้ผลิต/เจ้าของลิขสิทธิ์ | Warner Bros. Television, DC Comics, DC Entertiantment, Netflix |
เดอะ แซนด์แมน
- พล็อตและบท - 7.9
- การแสดง - 7.3
- การดำเนินเรื่อง - 7.4
- เพลงและดนตรีประกอบ - 7.4
- งานถ่ายภาพ เทคนิคพิเศษและโปรดักชัน - 7.4
ซีรีส์ที่ดัดแปลงจากคอมิกเลื่องชื่อของ นีล ไกแมน เรื่องราวที่ว่าด้วยปีศาจแห่งความฝันที่ถูกมนุษย์จับไปจองจำอยู่นานกว่าจะได้กลับออกมา และพาผู้ชมไปเรียนรู้กับความเป็นมนุษย์ผ่านประสบการณ์ของปีศาจผู้มีพลังพิเศษ พร้อมรู้จักกับเหล่าพี่น้องตระกูลเอนด์เลสในซีรีส์ดาร์กแฟนตาซีแฝงปรัชญาเรื่องเยี่ยม
ขอบคุณภาพจาก : เฟซบุ๊ก Netflix
Kapook Creator เป็นเนื้อหาที่นำเสนอโดยผู้สร้างสรรค์ที่เข้าร่วมโครงการ หากพบเนื้อหาที่ท่านเห็นว่าไม่ถูกต้องตามกติกา สามารถคลิกแจ้งปัญหาได้ที่นี่