จริงๆแล้ววัฒนธรรมการเป็นร่างทรง หรือ 'มูดัง' ในภาษาเกาหลีนั้น ถือเป็นพิธีกรรมที่มีการยอมรับและได้ขึ้นเป็นหนึ่งมรดกสำคัญของชาติเกาหลีแล้ว เพราะสมัยก่อนราชวงศ์โชซอน (ช่วงประมาณในซีรีส์ the moon that embraces the sun) ร่างทรงคือผู้ที่มีความสามารถในการเข้าสู่สภาวะจิตซึ่งสื่อสารกับสิ่งเหนือธรรมชาติได้ และความสามารถนี้เองที่ทำให้พวกเขากลายเป็นที่ปรึกษาที่เชื่อถือได้ของเหล่ากษัตริย์ คอยชี้นำทิศทางในการบริหารอาณาจักร
แต่เมื่อราชวงศ์โชซอน (ค.ศ. 1392-1910) ได้นำลัทธิขงจื๊อเข้ามา พร้อมระบบสังคมลำดับขั้นและอุดมการณ์แบบมนุษย์นิยม สอนให้ทุกคนเชื่อในการพัฒนาตนเองและไม่เชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ พร้อมๆ กับที่ตัวราชวงศ์มองว่าร่างทรงเหล่านี้คือภัยคุกคามทางการเมืองด้วยนั้น ทำให้ร่างทรงกลายเป็นที่รังเกียจสักพักใหญ่ แต่ความเชื่อเหล่านี้ยังคงแพร่หลายอยู่ใต้ดิน นักการเมืองบางคนก็เลี่ยงไปใช้วิธีปรึกษาคนทรงผ่านตัวแทนอย่างอ้อมๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองเสียภาพลักษณ์ คนทรงจึงไม่ได้ออกหน้าตาทางสังคม แต่เวลาผ่านไปไม่นานช่วงสงครามเหนือ-ใต้วัฒนธรรมด้านนี้ (การดูดวง การเรียกวิญญาณต่างๆ) ก็มีการบูรณาการใหม่ในหมู่คนทั่วไปได้รู้จักและถือว่าเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญอย่างหนึ่ง
และยิ่งตอกย้ำว่าร่างทรงเป็นสิ่งต้องห้ามเข้าไปอีก เมื่อปธน.หญิงคนแรกของเกาหลี 'พัคกึนฮเย' เธอยอมให้นางชเวซุนซิล ที่เป็นร่างทรงคนสนิทเข้ามามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจตั้งแต่เรื่องสำคัญของบ้านเมือง ไปจนถึงการเลือกสีของเสื้อผ้าที่จะสวมใส่ในวันสำคัญ (ฟีลเสื้อมงคลของไทยเรา) นอกจากนี้ช่องโทรทัศน์ Chosun ของเกาหลีใต้ได้เผยแพร่ภาพที่ทีมงานของประธานาธิบดีนั่งคุกเข่าต่อหน้านางชเวซุนซิล เพื่อรับคำสั่งจากเธออีกด้วย