[Review] Sex Education (เพศศึกษา หลักสูตรเร่งรัก) [2019 – 2023]
นำแสดงโดย
- Gillian Anderson (ผู้ที่เคยรับบทเจ้าหน้าที่ FBI เดน่า สกัลลี่ ในซีรีส์ชุด The X-Files) รับบทเป็น Dr. Jean F. Milburn
- Asa Butterfield (จากภาพยนตร์เรื่อง Ender’s Game และ The Space Between Us) รับบทเป็น Otis Milburn
- Ncuti Gatwa (จากภาพยนตร์เรื่อง Horrible Histories: The Movie – Rotten Romans) รับบทเป็น Eric Effiong
- Emma Mackey (จากภาพยนตร์เรื่อง Eiffel และ Death on the Nile) รับบทเป็น Maeve Wiley
- Connor Swindells (จากภาพยนตร์เรื่อง The Vanishing) รับบทเป็น Adam Groff
- Kedar Williams-Stirling (จากซีรีส์เรื่อง Wolfblood) รับบทเป็น Jackson Marchetti
- Aimee Lou Wood (จากภาพยนตร์เรื่อง The Electrical Life of Louis Wain) รับบทเป็น Aimee Gibbs
- Mimi Keene (จากซีรีส์เรื่อง EastEnders) รับบทเป็น Ruby Matthews
- Alistair Petrie (จากภาพยนตร์เรื่อง Rogue One และ Hellboy (2019)) รับบทเป็น Michael Groff

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Netflix
เนื้อเรื่อง/เรื่องย่อ
โอทิส มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ชื่อ Eric Effiong เด็กหนุ่มผิวสีที่เป็นเกย์ พวกเขาสนิทกันมาตั้งแต่ตอนอายุ 9 ขวบ ซึ่งทั้ง โอทิส และ เอริค ก็เหมือนกับเด็กเนิร์ดทั่วๆ ไป ที่มักจะโดนกลั่นแกล้ง, ถูก Bully และไม่สามารถเข้าสังคมกับเพื่อนๆ ในโรงเรียนได้
และด้วยความที่แม่ของ โอทิส เปิดบ้านของตัวเองเป็นคลีนิคสำหรับบำบัดปัญหาชีวิตคู่ นั่นจึงทำให้ โอทิส ได้ซึมซับความรู้เกี่ยวกับเรื่องปัญหาทางเพศและจิตวิทยาในการให้คำปรึกษามาตั้งแต่เด็ก ซึ่งในวันหนึ่งเขาก็จับพลัดจับผลู บังเอิญได้ไปให้คำปรึกษากับ Adam Groff ลูกชายจอมเกเรของครูใหญ่โรงเรียนมัธยมมัวร์เดล (Moordale Secondary School) เกี่ยวกับเรื่องการไม่สามารถถึงจุดสุดยอดได้ในขณะที่มีเพศสัมพันธ์
ซึ่งหลังจากได้รับคำปรึกษา ทำให้ อดัม สามารถที่จะกลับมาถึงจุดสุดยอดได้อย่างปรกติ จึงทำให้ Maeve Wiley สาวหัวขบถประจำโรงเรียน ที่ได้รับฉายาว่า จอมกัดจู๋ เพราะข่าวลือที่ถูกปล่อยออกมาว่าเธอชอบกัดจู๋ชายทุกคนที่เธอไปมีเพศสัมพันธ์ด้วย ได้เห็นโอกาสในการทำเงิน เธอจึงชักชวนให้ โอทิส มาร่วมเปิดคลีนิครับปรึกษาปัญหาเรื่องเพศของวัยรุ่นในโรงเรียนแบบลับๆ
ความคิดเห็นหลังจากได้ดู

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Netflix

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Netflix

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Netflix

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Netflix
สนุกมากฮะ ดูเพลินและฮาดี ซึ่งถ้าใครที่เคยประทับใจกับภาพยนตร์เรื่อง American Pie มาแล้ว คุณน่าจะสนุกกับซีรีส์ชุดนี้ได้ไม่ยากเลย เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว โดยภาพรวมของทั้ง 2 เรื่องนี้ มีความคล้ายกันค่อนข้างมาก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Netflix

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Netflix

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Netflix

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Netflix
พอมาซีซั่น 3 มุกตลกสัปดนต่างๆ เริ่มถูกลดบทบาทลงไปพอสมควร และถูกแทนที่ด้วยเนื้อหาที่ดูจริงจังมากขึ้น ตัวละครแต่ละตัวเริ่มมีความคิดที่เติบโตขึ้น ซึ่งพูดตามตรงเลยว่ามันยิ่งทำให้เราหลงรักซีรีส์ชุดนี้มากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะกับประเด็นต่างๆ ในแต่ละตอนที่ซีรีส์ชุดนี้ต้องการนำเสนอ โดนใจสุดๆ
แต่ที่ทำให้รู้สึกผิดหวังอยู่นิดหน่อยก็คือจากซีซั่น 3 ที่มีเนื้อหาเข้มข้นมากๆ แต่พอเข้าซีซั่น 4 เนื้อหากลับเหมือนเดินย่ำอยู่กับที่ การเดินเรื่องในซีซั่นนี้ก็ดูจะวนๆ ไม่ไปไหนซะที ตัวละครหลักหลายๆ ตัวแทบจะไม่ได้มีพัฒนาการอะไรเพิ่มขึ้นเลย ความเข้มข้นก็ดูลดน้อยลงทั้งๆ ที่มีประเด็นหนักๆ ให้เล่นอยู่เยอะไม่ต่างจากซีซั่นก่อนๆ โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับ LGBTQ+ ที่แทบจะเป็นประเด็นหลักของซีซั่นนี้ แต่สิ่งที่ใส่เข้ามามันกลับขาดความเป็นธรรมชาติและดู “พยายาม” มากจนเกินไปจนเหมือนถูก “ยัดเยียด“
ในส่วนของฉาก 18+ ไมว่าจะเป็นฉากเซ็กซ์หรือฉากโชว์โป๊นั้น เอาเข้าจริงๆ แล้ว แม้จะมีใส่เข้ามาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้เยอะแยะจะแจ้งอะไรมากมายนัก ก็เลยไม่อยากให้คนที่ยังไม่ได้ดูมาคาดหวังอะไรตรงนี้มากนัก ไม่งั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าหนังไม่สนุกไปซะอย่างนั้น
และแม้ตัวละครบางตัว จะมีการกระทำและการตัดสินใจที่ดูแล้วน่ารำคาญหรือน่าหมั่นไส้อยู่บ้าง แต่คุณต้องไม่ลืมว่า ตัวละครวัยรุ่นทุกตัวในเรื่องนี้ อายุเพียงแค่ 15-17 ปีเท่านั้น เพราะฉะนั้นมันก็จะต้องป่วนๆ แบบนี้แหละ และถ้ามองลึกๆ ลงไปในตัวละครแต่ละตัว คุณจะเห็นว่าทุกๆ การกระทำ ทุกๆ การตัดสินใจของทุกๆ ตัวละครมันมีเหตุผลมารองรับอยู่เสมอ ไม่ว่าการตัดสินใจนั้นจะถูกหรือผิดก็ตาม ไม่มีคำว่า “อิหยังวะ” เกิดขึ้นเลย

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Netflix

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Netflix

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Netflix

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Netflix
