ก่อนจะมี Top Gun: Maverick (2022) ทอม ครูซ ได้ยืนกรานว่าต้องให้ วัล คิลเมอร์ กลับมาด้วยเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรงานนี้จำเป็นต้องมีไอซ์แมน “ผมจะไม่ทำหนังเรื่องนี้โดยไม่มีวัล” ครูซพูด

ภาพจาก : อินสตาแกรม @valkilmerofficial
ซึ่งโจทย์ก็อยู่ตรงสภาพร่างกายของคิลเมอร์หลังจากต่อสู้กับมะเร็งลำคอที่ส่งผลให้เปล่งเสียงพูดปกติไม่ได้อีกต่อไป ทีมงานจึงต้องหาทางใช้เทคโนโลยีปรับแต่งเสียงพูดของเขาในหนัง พร้อมกับพยายามออกแบบฉากการหวนพบปะระหว่าง มาเวอริก กับ ไอซ์แมน ที่เรียบง่ายอย่างมีพลัง กลายเป็นวาระที่กองถ่ายให้ความสำคัญยิ่ง ทุกคนมาเฝ้าดูการถ่ายทำฉากนี้ รวมถึง เมอร์เซดีส ลูกสาวของคิลเมอร์ก็มาให้กำลังใจ เธอคือคนที่รู้ดีว่ามันมีความหมายต่อคิลเมอร์เพียงใด

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Top Gun

ภาพจาก : อินสตาแกรม @valkilmerofficial

ภาพจาก : อินสตาแกรม @valkilmerofficial
“เราอยากให้เขาชอบฉากนี้” ผู้กำกับ โจเซฟ โคซินสกี้ กล่าว “แล้วท่าทีของเขา(หลังรับชม)ช่างงดงาม เขามีความสุขและตื้นตันกับฉากนี้มากจนเรารู้สึกดีจริงๆ บางทีเราคงทำออกมาได้ถูกวิธีแล้ว”

ภาพจาก : อินสตาแกรม @valkilmerofficial
นับว่าการปรากฏกายของคิลเมอร์ใน Top Gun: Maverick ไม่ใช่เพียงรียูเนียนทั่วไป แต่ยังเป็นการพาอดีตพระเอกขวัญใจหวนคืนจอและได้ชี้วัดว่ามีผู้ชมคิดถึงเขามากแค่ไหน ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็น “ม้าพยศ” แห่งฮอลลีวูด ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ส่วนผสมของฝีไม้ลายมืออันน่าทึ่ง พฤติกรรมดื้อดึง แล้วต้องเผชิญมรสุมทั้งเรื่องครอบครัวไปจนถึงโรคร้ายรุมเร้า ทว่าเหตุผลสำคัญที่คิลเมอร์อยู่ในใจผู้คนเสมอก็คือความทุ่มเทในยามสวมบทบาทและการต่อสู้กับชีวิต
VAL - Official Trailer | Prime Video
ในทางหนึ่ง Top Gun: Maverick ได้กลายเป็นผลงานเรื่องสุดท้ายในชีวิตของคิลเมอร์ที่เหมาะเจาะ หลังจากดำเนินมาถึงวัยที่ยอมรับความเป็นไปทุกอย่าง ถ้อยคำของเขาที่ว่า “ถึงเวลาปล่อยวาง” จึงเหมือนไม่ได้กล่าวเพียงในฐานะไอซ์แมน แต่ยังในฐานะ วัล คิลเมอร์ เอง พร้อมกับที่ครูซในบทมาเวอริกก็ได้เป็นตัวแทนบอกกับคิลเมอร์ว่า “ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
หลังการจากไปของเขา ฉากนี้เปรียบเสมือนช่วงเวลาการบอกลาอย่างสมเกียรติ / ด้วยความระลึกถึง วัล คิลเมอร์
Kapook Creator เป็นเนื้อหาที่นำเสนอโดยผู้สร้างสรรค์ที่เข้าร่วมโครงการ หากพบเนื้อหาที่ท่านเห็นว่าไม่ถูกต้องตามกติกา สามารถคลิกแจ้งปัญหาได้ที่นี่