
ภาพจาก : เว็บไซต์ Paramount Vantage
ครั้งหนึ่งของภาพยนตร์ผจญภัยและการก้าวข้ามวัยที่น่าทึ่งบอกเล่าเรื่องจริงของ คริสโตเฟอร์ แม็คแคนเลสส์ บัณฑิตจบใหม่ที่ตัดสินใจทิ้งปริญญา บริจาคเงินเก็บเข้าการกุศล และแบกกระเป๋าหนีหายไปตามลำพังโดยไม่บอกคนรอบข้าง ใช้ชีวิตพเนจรไปทั่วประเทศอยู่สองปีกว่ากระทั่งมีคนพบศพเขาในรถบัสเก่าๆ ท่ามกลางป่าเขาของอลาสกา
จากการตีแผ่ผ่านหนังสือชื่อ Into the Wild โดย จอห์น คราเคาเออร์ และได้รับความนิยมล้นหลาม นำเสนอการวิ่งหนีจากความเจ็บปวดของชายหนุ่ม ปลดเปลื้องตัวเองจากโลกแห่งวัตถุ และหันเข้าหาธรรมชาติ กลายเป็นว่าหนึ่งในผู้อ่านที่ประทับใจเรื่องราวของคริสคือ ฌอน เพนน์ ซึ่งพยายามซื้อลิขสิทธิ์หนังสือมาดัดแปลงสร้างตั้งแต่ 1996
เว้นแต่ว่าเพนน์ไม่ได้รับความเห็นชอบจากแม่ของคริสและใช้เวลาเป็นสิบปีกระทั่งโน้มน้าวสำเร็จ พาให้ต้องเปลี่ยนแผนการแคสต์นักแสดงนำซึ่งเดิมทีเคยวางตัว ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ไว้ในบทคริส แต่ก็มาค้นพบตัวเลือกใหม่ที่เหมาะเจาะอย่าง เอมิล เฮิร์ช ดาวรุ่งที่กำลังน่าจับตาในตอนนั้น อีกทั้งที่รายล้อมพระเอกคือนักแสดงสมทบช่วยเติมสีสันอย่าง แคทเธอรีน คีเนอร์, วินซ์ วอห์น, คริสเตน สจ๊วร์ต, เจน่า มาโลน, วิลเลี่ยม เฮิร์ต, มาร์เซีย เกย์ ฮาร์เดน และ ฮัล ฮอลบรูก

ภาพจาก : เว็บไซต์ Netflix

ภาพจาก : เว็บไซต์ Netflix
เป็นความตั้งใจของเพนน์ในฐานะผู้กำกับและคนเขียนบทที่ต้องการยกกองไปถ่ายยังสถานที่จริงหรือใกล้เคียงให้มากที่สุด เพื่อเป็นการตามรอยคริส ไปรับรู้ในสิ่งที่เขาเห็นและสัมผัส ตะลอนไปทั่วตั้งแต่ แกรนด์แคนยอน, ทะเลทรายแอริโซนา, ทะเลซอลตัน, เม็กซิโก, สถานที่ประหลาดชื่อ “เดอะสแล็บส์” จนจรด อลาสกา และด้วยเหตุที่โปรเจกต์นี้มีทุนแค่ย่อมๆ ปัญหาก็คืองบไม่พอรองรับความซับซ้อนในการขนย้าย ลงเอยที่ให้ค่ายหนังยื่นมือช่วย รวมถึงเพนน์ต้องควักเนื้ออัดฉีดเอง
กระนั้น ก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นการลงทุนที่คุ้ม เพราะสิ่งที่ได้มาคืองานภาพที่งดงาม วิวทิวทัศน์ซึ่งจำเป็นต้องเข้าไปถึงแหล่งเท่านั้นจึงจะได้สัมผัส แล้วสุนทรียะนั้นยังสะกิดให้เพนน์ฉุกคิดถึงการใช้เพลงของ เอ็ดดี้ เวดเดอร์ ประกอบหนัง ได้เป็นท่วงทำนองที่สอดรับกับบรรยากาศอย่างลงตัว ให้ความรู้สึกทั้งสงบและเปล่าเปลี่ยว

ภาพจาก : เว็บไซต์ Paramount Vantage

ภาพจาก : เว็บไซต์ Netflix