ศพกลายเป็นหินที่เมืองปอมเปอี เป็นของจริงหรือถูกทำขึ้นมา?
ในปี ค.ศ. 79 การระเบิดของภูเขาไฟวิสุเวียส (Vesuvius) ในอิตาลี ได้ทำลายล้างเมืองปอมเปอี (Pompeii) และเฮอร์คิวเลเนียม (Herculaneum) จนทำให้เมืองทั้งเมืองถูกฝังภายใต้เถ้าถ่านของภูเขาไฟ
ปอมเปอีหายสาปสูญนานกว่า 1,500 ปี จนกระทั่งถูกค้นพบในปลายศตวรรษที่ 16 ก่อนที่ในอีกหลายร้อยปีต่อมา นักโบราณคดีจะเริ่มต้นขุดค้น
ในระหว่างที่นักโบราณคดีทำการขุดค้นปอมเปอี พวกเขาได้พบว่าภายในชั้นเถ้าถ่านภูเขาไฟที่ฝังทับตัวเมืองนั้น ได้มีโพรงช่องว่างที่มีโครงกระดูกชาวเมืองปอมเปอีอยู่ภายใน
เมื่อนักโบราณคดีค้นพบโครงกระดูก พวกเขาก็ได้คิดวิธีเก็บรักษาโครงกระดูกเหล่านี้ไว้ โดยในปี 1863 จูเซปเป้ ฟิโอเรลลี (Giuseppe Fiorelli) ผู้อำนวยการทีมขุดค้นก็ได้เกิดไอเดียว่า ถ้าหากเทปูนปลาสเตอร์ไปที่โพรงช่องว่างดังกล่าว ก็จะสามารถสร้างร่างจำลองของเจ้าของโครงกระดูกร่างนั้นได้ ที่สำคัญยังช่วยรักษาโครงกระดูกได้อีก
ใช่ครับศพชาวเมืองปอมเปอีที่กลายเป็นหินที่เราเห็นทุกวันนี้ มาจากไอเดียของนักโบราณคดีในยุคทศวรรษ 1860 เพราะในทางวิทยาศาสตร์ มันเป็นไปไม่ได้ที่ร่างมนุษย์ที่ถูกความร้อนจากเถ้าถ่านภูเขาไฟจะยังคงสภาพหรือกลายเป็นหิน เพราะเนื้อหนังและอวัยวะภายในได้ถูกย่อยสลายจนหมด หลงเหลือเพียงโครงกระดูกที่เป็นหลักฐานยืนยัน
ดังนั้นถ้าสรุปว่าเป็นของจริงหรือปลอม คำตอบก็คือเป็นทั้งสองอย่าง เพราะศพชาวเมืองปอมเปอีที่กลายเป็นหิน ทำจากโครงกระดูกมนุษย์จริง ๆ ที่ถูกเทด้วยปูนปลาสเตอร์ เพื่อจำลองรูปลักษณ์และท่าทางตอนที่พวกเขาเสียชีวิต
ปัจจุบันมีการค้นพบศพที่ปอมเปอีมากกว่า 1,150 ร่าง และมีประมาณ 100 ร่าง ที่ถูกเทปูนปลาสเตอร์จนเป็นศพหิน แต่ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยในปัจจุบัน นักโบราณคดีก็ไม่จำเป็นต้องเทปูนปลาสเตอร์เพื่อทำแบบจำลองแบบนี้ขึ้นอีก
References
Kapook Creator เป็นเนื้อหาที่นำเสนอโดยผู้สร้างสรรค์ที่เข้าร่วมโครงการ หากพบเนื้อหาที่ท่านเห็นว่าไม่ถูกต้องตามกติกา สามารถคลิกแจ้งปัญหาได้ที่นี่