7 Mindset ที่คนสำเร็จทุกคนต้องมี จากหนังสือ The One%: สิ่งที่คนสำเร็จ 1% ของโลกทำ คน 99% อยากรู้

“Mindset เปรียบเสมือนรันเวย์ที่ใช้ลงจอดเครื่องบิน ความสำเร็จเปรียบเสมือนเครื่องบิน เครื่องบินลำใหญ่จะลงจอดได้ก็ต้องใช้รันเวย์ที่มีขนาดใหญ่มากพอ ถ้าเรามี Mindset ความสำเร็จที่ใหญ่มากพอ ความสำเร็จนั้นก็เข้ามาหาเราเอง”
1. ทุกความสำเร็จเริ่มจากการตั้งเป้าหมาย
เราต้องเริ่มจากการรู้ก่อนว่า เราเป็นใคร เราต้องการอะไร เราเกิดมาเพื่ออะไร การมีความฝันอันแรงกล้า จะถูกถ่ายทอดออกผ่านการตั้งเป้าหมาย เราต้องจดจ่ออยู่กับเป้าหมายชนิดที่ หายใจเข้า-ออก ก็นึกถึงแต่สิ่งนี้
สิ่งที่จะทำให้เราจดจ่ออยู่กับเป้าหมายของเรา คือการทำเป้าหมายให้อยู่ลึกลงไปในระดับ “จิตใต้สำนึก” เพราะจิตใต้สำนึกจะขับเคลื่อนพฤติกรรมเราโดยอัตโนมัติ ทำให้เราทำทุกอย่างเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมาย โดยไม่ต้องอาศัยแรงพยายาม
วิธีหนึ่งที่จะทำให้เป้าหมายเราอยู่ในจิตใต้สำนึกได้ คือการเริ่มจากการเชื่อในแบบที่เราเป็นก่อน เราเชื่อแบบไหน (Be) เราก็จะเริ่มลงมือทำตามสิ่งที่เราเชื่อ (Do) และสุดท้ายเราก็จะได้ผลลัพธ์ตามต้องการ (Have)
สิ่งที่จะทำให้เราจดจ่ออยู่กับเป้าหมายของเรา คือการทำเป้าหมายให้อยู่ลึกลงไปในระดับ “จิตใต้สำนึก” เพราะจิตใต้สำนึกจะขับเคลื่อนพฤติกรรมเราโดยอัตโนมัติ ทำให้เราทำทุกอย่างเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมาย โดยไม่ต้องอาศัยแรงพยายาม
วิธีหนึ่งที่จะทำให้เป้าหมายเราอยู่ในจิตใต้สำนึกได้ คือการเริ่มจากการเชื่อในแบบที่เราเป็นก่อน เราเชื่อแบบไหน (Be) เราก็จะเริ่มลงมือทำตามสิ่งที่เราเชื่อ (Do) และสุดท้ายเราก็จะได้ผลลัพธ์ตามต้องการ (Have)
2. รับผิดชอบต่อชีวิตตัวเอง
เวลาเราเจอเหตุการณ์อะไรสักอย่าง เรามีวิธีในการตอบสนอง 2 แบบ คือ
1. Reactive ไม่มี Ownership – คิดว่าตัวเองเป็นเหยื่อต่อเหตุการณ์ภายนอก โทษแต่สิ่งรอบตัว เป็นผู้เช่า แต่ไม่ใช่เจ้าของชีวิตตัวเอง
2. Proactive มี Ownership – รับผิดชอบชีวิตตัวเองเต็ม 100% ควบคุมชีวิตตัวเอง และเป็นเจ้าของชีวิตตัวเองอย่างแท้จริง
ถ้าเราตอบสนองแบบแรก เราคงเอาแต่โทษถึงสิ่งรอบตัว ว่าทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าเรามีความคิดแบบ Proactive เราจะรู้สึกว่าเราเป็นคนควบคุมชีวิตตัวเอง แม้สิ่งรอบตัวจะเป็นยังไง เราก็ยังเลือกวิธีตอบสนองให้เป็นไปตามแบบที่เราต้องการได้ เช่น ตอนเรียน เพื่อนเราหัวดีกว่า เข้าใจไว สอบได้คะแนนดี เราหัวช้ากว่า เรียนได้แย่กว่าเพื่อน ถ้าเราเอาแต่โทษพ่อแม่ โทษโชคชะตาว่า ให้สมองมาน้อย ก็คงไม่ได้สร้างผลลัพธ์อะไรให้แตกต่าง แต่ถ้าเราลองคิดว่า ด้วยหัวที่ไม่ดี เราเลยต้องขยันกว่าเพื่อน เราก็อาจจะสร้างแรงขับเคลื่อนขึ้นมาได้ สุดท้ายเราก็จะขยันและตั้งใจเรียนมากขึ้น
1. Reactive ไม่มี Ownership – คิดว่าตัวเองเป็นเหยื่อต่อเหตุการณ์ภายนอก โทษแต่สิ่งรอบตัว เป็นผู้เช่า แต่ไม่ใช่เจ้าของชีวิตตัวเอง
2. Proactive มี Ownership – รับผิดชอบชีวิตตัวเองเต็ม 100% ควบคุมชีวิตตัวเอง และเป็นเจ้าของชีวิตตัวเองอย่างแท้จริง
ถ้าเราตอบสนองแบบแรก เราคงเอาแต่โทษถึงสิ่งรอบตัว ว่าทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าเรามีความคิดแบบ Proactive เราจะรู้สึกว่าเราเป็นคนควบคุมชีวิตตัวเอง แม้สิ่งรอบตัวจะเป็นยังไง เราก็ยังเลือกวิธีตอบสนองให้เป็นไปตามแบบที่เราต้องการได้ เช่น ตอนเรียน เพื่อนเราหัวดีกว่า เข้าใจไว สอบได้คะแนนดี เราหัวช้ากว่า เรียนได้แย่กว่าเพื่อน ถ้าเราเอาแต่โทษพ่อแม่ โทษโชคชะตาว่า ให้สมองมาน้อย ก็คงไม่ได้สร้างผลลัพธ์อะไรให้แตกต่าง แต่ถ้าเราลองคิดว่า ด้วยหัวที่ไม่ดี เราเลยต้องขยันกว่าเพื่อน เราก็อาจจะสร้างแรงขับเคลื่อนขึ้นมาได้ สุดท้ายเราก็จะขยันและตั้งใจเรียนมากขึ้น
3. อดทน และกัดไม่ปล่อย
ทุกการก้าวเดินไปสู่ความสำเร็จ ต้องเผชิญอุปสรรคและความยากลำบาก เฉพาะคนที่ไม่ยอมแพ้ และอดทนในคืนที่ยากลำบากได้ จะได้เจอกับความสำเร็จที่ตัวเองหวังในสักวัน
4. โฟกัสกับสิ่งสิ่งเดียว
สมองเราไม่สามารถทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้ ถ้าเราใช้วิธี Multitask ประสิทธิภาพของการทำแต่ละอย่างจะลดลงมาก เราจึงควรทำไปทีละอย่าง ทำอย่างเต็มที่ จนเอาตัวเองเข้าไปอยู่ใน Flow state ได้
วิธีหนึ่งที่ช่วยฝึกให้เราโฟกัสกับสิ่งสิ่งหนึ่งได้นานจนเข้า Flow state ได้คือการทำสมาธิ ถ้าเราได้ฝึกนั่งสมาธิ เราจะสามารถรวมพลังจิตของเราให้อยู่ในจุดจุดเดียว และจะกลายเป็นคนมีสมาธิที่ทำสิ่งหนึ่งต่อเนื่องได้นาน
5. มีวินัยในทุกวัน
วินัย คือการที่เราบังคับตัวเองให้ทำสิ่งเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ได้ แม้วันนั้นเราจะไม่มีอารมณ์ทำ มันคือการฝืนให้ตัวเองทำสิ่งเดิมซ้ำ ๆ จนเป็นนิสัย และสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้
เทคนิคหนึ่งที่ใช้สร้างวินัยได้คือ กฎ 5 วินาที ซึ่งหมายถึง ถ้าเราคิดจะทำอะไรแล้ว ให้เริ่มทำทันทีภายใน 5 วินาที ก่อนสมองจะเริ่มคิดเหตุผลต่าง ๆ นานา ปฏิเสธ ถ้าอยากออกไปวิ่ง ให้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนชุดภายใน 5 วินาที ถ้าอยากลงมือเขียนรายงาน ให้เปิดไฟล์งานภายใน 5 วินาที
เทคนิคหนึ่งที่ใช้สร้างวินัยได้คือ กฎ 5 วินาที ซึ่งหมายถึง ถ้าเราคิดจะทำอะไรแล้ว ให้เริ่มทำทันทีภายใน 5 วินาที ก่อนสมองจะเริ่มคิดเหตุผลต่าง ๆ นานา ปฏิเสธ ถ้าอยากออกไปวิ่ง ให้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนชุดภายใน 5 วินาที ถ้าอยากลงมือเขียนรายงาน ให้เปิดไฟล์งานภายใน 5 วินาที
6. เชื่อมั่นในตัวเองให้มากพอ
ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเชื่อมั่นในตัวเรา เพราะเราสามารถเชื่อมั่นในตัวเองได้ ในวันที่ท้อ และเจอแต่อุปสรรค ความเชื่อมั่นในตัวเองจะเป็นสิ่งสำคัญให้เราก้าวผ่านเรื่องยากลำบากเหล่านั้นไปได้
7. มีหัวการค้า (Entrepreneurial mindset)
หัวการค้าไม่เกี่ยวกับความฉลาด ไม่เกี่ยวกับการศึกษา หัวการค้าเป็นเรื่องของการมีภาวะผู้นำ มีไหวพริบเรื่องเงิน สามารถมองเห็นภาพใหญ่ได้ และหมั่นพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เราต้องรู้จักมองเห็นโอกาสในการทำสิ่งต่าง ๆ พยายามมองหาช่องทางธุรกิจ และการเพิ่มรายได้ของเรา การมีหัวการค้าเป็นสิ่งที่ฝึกกันได้ ถ้าเรารู้จักเรียนรู้อยู่เสมอ ๆ !
รีวิวหลังอ่านสั้น ๆ
หนังสือเขียนโดย พอล ภัทรพล นักเขียน Bestseller จากหนังสือ เหนื่อยชั่วคราว สบายชั่วโคตร เล่มนี้เป็นเหมือนภาคต่อ แต่เน้นไปที่เรื่อง mindset ของคนสำเร็จ ซึ่งจะไม่ได้เจาะไปที่เรื่องเงินเพียงอย่างเดียว
คอนเซ็ปต์ 1% หมายถึง mindset ที่คนสำเร็จ 1% มีและคนอื่น ๆ ที่เหลืออีก 99% ไม่มี Mindset คือช่องว่างทางความคิด เป็นสิ่งที่จะสร้างความแตกต่าง และส่งผลต่อความสำเร็จด้านต่าง ๆ ในชีวิต
เรื่องเงินก็เป็นหนึ่งในนั้น
ตามสถิติแล้ว มีคนไทยเพียง 1 ใน 100 เท่านั้นที่เกษียณได้อย่างมั่งคั่ง และมีคนไทยเพียงแค่ 4% เท่านั้นที่มีเงินพอใช้ตลอดชีวิตหลังเกษียณ อีก 95% ที่เหลือ มีเงินไม่เพียงพอที่จะเกษียณได้ การที่ปรับ mindset ที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
ความรู้สึกหลังอ่านจบ
เล่มนี้ไม่ได้มีอะไรใหม่มากเป็นเหมือนการรวมเคล็ดลับความสำเร็จในหนังสือเล่มต่าง ๆ เอามาย่อยให้เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับอ่านเตือนใจเวลาอยากกระตุ้นตัวเองให้ลงมือทำตามความฝัน
สนใจสั่งซื้อหนังสือ The One% ได้ที่ร้าน Attorney285
- ผู้เขียน : พอล ภัทรพล ศิลปาจารย์
- จำนวนหน้า : 224 หน้า
- สำนักพิมพ์ : I AM THE BEST
- เดือนปีที่พิมพ์ : 2019
Kapook Creator เป็นเนื้อหาที่นำเสนอโดยผู้สร้างสรรค์ที่เข้าร่วมโครงการ หากพบเนื้อหาที่ท่านเห็นว่าไม่ถูกต้องตามกติกา สามารถคลิกแจ้งปัญหาได้ที่นี่