1. ทักษะอีกชุดหนึ่งที่จำเป็นในโลกปัจจุบันคือ “ทักษะการละทิ้งความรู้เดิม และการคิดทบทวน”
พวกเราหลายคนมักตกอยู่ในเหตุผลวิบัติที่ชื่อว่า “first instant fallacy” หรือปรากฏการณ์ที่เรามักเชื่อว่า ความคิดแรกของเราที่เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณนั้นถูกเสมอ แต่ช่วงหลังมีผลการวิจัยที่ยืนยันมาแล้วว่า ความคิดแรกของเรามีแนวโน้มที่จะผิดค่อนข้างสูง และการคิดทบทวน เพื่อเปลี่ยนคำตอบ อาจทำให้เราเพิ่มโอกาสในการเลือกตัวเลือกที่ดีกว่า
เช่น การเปลี่ยนคำตอบของนักศึกษา ที่หลายคนมักจะคิดว่า คำตอบแรกตามสัญชาตญาณดีกว่าเสมอ แต่ผลการวิจัยไม่เป็นเช่นนั้น ผลการวิจัยบอกว่า นักศึกษามีโอกาสสูงถึง 50% ที่จะเปลี่ยนจากคำตอบที่ผิด ไปคำตอบที่ถูก และมีโอกาสเพียง 25% ที่จะเปลี่ยนจากคำตอบที่ถูกไปคำตอบที่ผิด หรือ การที่เราเชื่อในนิทานปรัมปราเรื่องกบที่โดนใส่ไว้ในหม้อ แล้วค่อย ๆ เพิ่มอุณหภูมิจนกบโดนต้มทั้งเป็น ความจริงแล้ว มีงานวิจัยมายืนยันว่า กบไม่ได้อยู่ในหม้อจนโดนต้ม แต่กระโดดหนีไปทันทีที่อุณหภูมิน้ำเริ่มร้อนขึ้นจนถึงจุดหนี่ง
2. กรอบคิดที่แตกต่างกัน 4 แบบ
- กรอบคิดแบบนักเทศน์ – คือตอนที่เราสวมหมวกนักเทศน์ที่เอาแต่ “พูดเทศนาความคิดของเรา” ให้คนอื่นฟัง โดยไม่ได้รับฟังสิ่งที่คนอื่นต้องการจะสื่อ
- กรอบคิดแบบอัยการ – คือตอนที่เราสวมหมวกอัยการที่พยายาม “จับผิดความคิดของคนอื่น” โดยใช้เหตุผลต่าง ๆ นานา มาทำให้คนอื่นผิดให้ได้
- กรอบคิดแบบนักการเมือง – คือตอนที่เราสวมหมวกนักการเมืองที่พยายาม “ทำยังไงก็ได้ให้คนอื่นเห็นด้วย” โดยไม่สนใจเหตุผลและวิธีการ เราเพียงแต่ต้องการให้คนอื่นสนับสนุนเรา เชื่อเรา คล้อยตามเรา
- กรอบคิดแบบนักวิทยาศาสตร์ – คือตอนที่เราสวมหมวกนักวิทยาศาสตร์ โดย “ใช้การคิดแบบมีเหตุผล” ในการหาความจริง โหมดนี้จะทำให้เราหมั่นตั้งข้อสงสัยในสิ่งที่ตัวเองรู้ และค่อย ๆ หาข้อมูลความคิดเห็นใหม่ ๆ มาเพิ่มเติมในสิ่งที่เรายังไม่รู้ หรือสิ่งที่เรายังไม่แน่ใจว่ามันยังเป็นไปในแบบที่เรารู้อยู่รึเปล่า
3. มุ่งหาความมั่นใจในตัวเองแบบพอดี ๆ
ในทางตรงกันข้าม มีคนอีกกลุ่มที่มีอาการ imposter syndrome คือ ขาดความมั่นใจในตัวเอง คนกลุ่มนี้ไม่ค่อยกล้าตัดสินใจ หรือลงมือทำในสิ่งที่อยากทำ เพราะไม่ค่อยเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง ในความเป็นจริงแล้ว เราทุกคนอาจเคยมีอาการ armchair quarterback และ imposter syndrome ในบางช่วงเวลา ถ้าอธิบายตามปรากฏการณ์ของ Dunning-Kruger effect คนเราจะเริ่มจากการไม่มั่นใจในเรื่องเรื่องหนึ่งเพราะรู้น้อย แต่พอเริ่มรู้เรื่องนั้นมากขึ้น ก็จะเริ่มมั่นใจจนเกินพอดี และอาจเริ่มแสดงอาการ armchair quarterback
ในจุดนี้หลายคนอาจหยุดพัฒนาตัวเอง และติดอยู่ในยอดเขาแห่งความโง่เขลา (mount stupid) จนเมื่อพวกเขาเริ่มรู้ว่ายังมีสิ่งที่ตัวเองไม่รู้อีกมาก ความมั่นใจขอพวกเขาก็อาจลดลงอย่างรวดเร็วจนอยู่ในช่วงที่แสดงอาการ imposter syndrome แต่สุดท้ายถ้าพวกเขารู้จักการคิดทบทวนความรู้ตัวเองและหมั่นหาความรู้ในเรื่องนั้นเพิ่มเติมอีกครั้ง ในรอบนี้ทั้งความรู้และความมั่นใจของพวกเขาก็จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นพร้อม ๆ กัน
อย่างไรก็ตาม เราอาจหลีกเลี่ยงที่จะเดินตามรอยของ Dunning-Kruger effect ได้ด้วยการรู้จักมีความมั่นใจในแบบพอดี หรือที่หนังสือเรียกว่า “ความถ่อมตนแบบมั่นใจ (confident humility)” ซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางที่เรามีทั้ง “การยอมรับในความไม่รู้ของตัวเอง” และ “การยอมรับว่าเรามีความสามารถในการเรียนรู้ที่มากพอ” ซึ่งถ้าเราสามารถหาจุดที่ลงตัวของความมั่นใจในตัวเองได้ เราอาจถูกผลักดันให้ใส่หมวกคิดแบบนักวิทยาศาสตร์ และหมั่นผลักดันตัวเองให้หาความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ ๆ
4. จงโอบรับ และอย่ายึดติดกับความผิดพลาดในอดีต
หลายคนมักรู้สึกผิดหวังเมื่อได้รู้ว่าตัวเองผิดพลาด แต่ความจริงแล้ว การที่เราคิดผิดไม่ได้หมายความว่าตัวเราจะต้องผิดไปด้วย เราทุกคนผิดพลาดกันได้ และสิ่งที่ผิดก็อาจเป็นเพียงความคิดเรา ณ ตอนนั้น ๆ ไม่ใช่ตัวตนของเราทั้งหมด ดังนั้นแล้ว เราอาจต้องลองแยกความคิด ออกจากตัวตนของเรา ตัวตนเป็นสิ่งที่เป็นไปตามค่านิยม ความเชื่อ อุดมการณ์
ส่วนความคิดนั้นควรไปตามข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ สิ่งที่เราต้องระวังคือ อย่าให้ “ความทะนงตัวแบบเผด็จการ” ทางความคิดมาบงการ และปิดประตูความคิดเห็นที่โต้แย้ง เพราะมันจะปิดประตูการเรียนรู้ใหม่ ๆ ของเรา
5. นักพยาการณ์ที่ทำนายแม่นที่สุด คือนักพยากรณ์ที่อัปเดทตัวเองอยู่เสมอ
วิธีที่จะนำไปสู่การหมั่นอัปเดทตัวเองคือ “การมีความถ่อมตนแบบมั่นใจ” ที่จะช่วยให้เราหมั่นเสาะหาความรู้ใหม่ ๆ ไม่ยึดติดกับอดีต สิ่งสำคัญ คือ พยายามอย่านำข้อมูลในอดีตมาทำนายอนาคต และระวัง bias ลึก ๆ ในใจตัวเองที่อาจปิดกั้นการยอมรับข้อมูลใหม่ ๆ
6. ความขัดแย้งเรื่องงาน จะนำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์
ในมุมของการคิดทบทวนนั้น ประเด็นที่นำมาโต้เถียง ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งเรื่องงาน จะเป็นตัวจุดชนวนให้ทุกคนในทีมได้ลองคิดทบทวน และสวมหมวกนักวิทยาศาสตร์ในการเสาะหาข้อเท็จจริง
ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ อย่ากลัวที่จะขัดแย้ง และต้องแยกระหว่างขัดแย้งเรื่องงานและเรื่องความสัมพันธ์ กลุ่มที่ดีจะสามารถนั่งเถียงเรื่องงานกันได้เป็นชั่วโมง แต่ไปกินข้าวกันต่อได้หลังจากนั้น เราทุกคนควรหมั่นฝึกตัวเองไว้ อย่าพยายามโอนอ่อนผ่อนตามกับความเห็นที่ต่าง แต่ต้องหาจุดโต้แย้งที่สร้างสรรค์ เพื่อคำตอบที่อาจดีกว่าเดิม
7. จงเต้นรำไปกับคนที่เห็นต่าง อย่าปรากาศสงคราม
มีตัวอย่างถึง การขึ้น debate ของนักโต้วาทีระดับโลกกับ AI ชายหนุ่มนักโต้วาทีมีข้อมูลอันจำกัดในการมาโต้เถียง AI ที่ถูกเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลขนาดใหญ่ไว้ แต่สุดท้ายแล้วชายหนุ่มก็สามารถเอาชนะ AI โดยการโน้มน้าวใจผู้ฟังให้คล้อยตามมากกว่าได้แม้จะไม่ได้มีหลักฐานมาสนับสนุนความคิดเท่า AI
เทคนิคที่เขาใช้ในการโน้มน้าวใจคนฟังก็เช่น
- การเริ่มด้วยการประกาศชัดเจนว่า เขาไม่ได้เป็นศัตรูกับอีกฝ่าย เขาอยู่ข้างเดียวกัน เห็นตรงกันหลายอย่างและกำลังพยายามช่วยกันหาทางออกของประเด็นปัญหา
- ชวนอีกฝ่ายตั้งคำถาม และแสดงความอยากรู้อยากเห็นในข้อโต้แย้งของอีกฝ่าย
- ชวนอีกฝ่ายให้เปิดใจ และคุยกันด้วยหลักฐานอย่างตรงไปตรงมา
- ไม่จูงใจคนฟังตรง ๆ เหมือนการขายของ แต่ตั้งคำถามทิ้งไว้ให้คนฟังไปคิดต่อเอง
เพราะสุดท้ายแล้ว “มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่จะเปลี่ยนความคิดของเราได้”
8. ลองกระตุกให้คนอื่นคิดทบทวนถึงทัศนคติแบบเหมารวม (stereotype)
แต่ถ้าเราลองถอยออกมาก้าวหนึ่ง แล้วลองคิดทบทวนถึงสถานการณ์ของคนที่เชียร์ทีมกีฬาอีกฝั่ง เราอาจเข้าใจในตัวพวกเขามากขึ้นว่า ข้อมูลที่เขาได้รับมาแตกต่างจากของเรา ข้อมูลที่แตกต่างก่อให้เกิดความคิดที่แตกต่างกัน และเมื่อนานเข้าก็กลายไปเป็นความเชื่อของกลุ่ม
ดังนั้นเราอาจต้องลดอคติของตัวเองลง และลองคิดทบทวนถึงพื้นเพเรื่องราวของคนอื่นให้มากขึ้น เรื่องนี้อาจช่วยลดอคติในใจเราลง และลดความเกลียดชังที่มีต่ออีกฝ่ายได้
9. หยุดเป็นจอมข่มเหงรังแกด้วยเหตุผล และลองเปิดใจฟังคนอื่นอย่างแท้จริง เพื่อจูงใจเขา
10. ทำให้เรื่องราวซับซ้อนมากขึ้น และมองจากมุมที่ต่างออกไป
ส่วนใหญ่แล้ว เรื่องทุกเรื่องในโลกนี้ไม่ได้มีเพียง 2 ฝั่ง แค่ขาวกับดำ แต่มีเสปกตรัมหลากสีแตกต่างออกไปมากมายขึ้นกับมุมมองของแต่ละคน ดังนั้นแล้ว วิธีหนึ่งที่เราสามารถใช้จูงใจคนได้มากขึ้น คือ “การชี้ให้เห็นว่า ประเด็นนั้นมีความซับซ้อน และประกอบไปด้วยหลากหลายมุมมองที่แตกต่างกัน”
ลองนึกถึงตัวอย่างเรื่องความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) แดเนียล โกลแมน และจอร์แดน ปีเตอร์สัน มีความเห็นที่แตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิงในเรื่องนี้ ในขณะที่แดเนียล โกลแมน เชื่อว่า EQ ส่งผลต่อผลงานมากกว่าความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) และส่งผลมากกว่า 90% ต่อความสำเร็จของผู้นำ จอร์แดน ปีเตอร์สัน เชื่อว่า EQ เป็นแนวคิดที่หลอกลวง และไม่มีอยู่จริง
ในความจริงแล้ว เรื่อง EQ เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก ยังมีการถกเถียงกันอย่างมากถึงเรื่องผลกระทบของ EQ ต่อเรื่องต่าง ๆ ดังนั้น มันอาจดีกว่าถ้าเรามุ่งความสนใจไปที่อาชีพหรือสถานการณ์ที่ EQ อาจส่งผลมาก และการเตรียมตัวรับมือกับผลกระทบของ EQ ในสถานการณ์ดังกล่าว
โดยสรุปแล้ว การทำให้เรื่องราวซับซ้อนมากขึ้น จึงเป็นการเปิดทางให้เราได้สวมหมวกนักวิทยาศาสตร์ ในการเสาะหาข้อมูลใหม่ ๆ มาช่วยให้เราพัฒนาความคิดและการตัดสินใจให้ดียิ่งขึ้น
11. เปลี่ยนวิธีการสอนจาก การ Lecture เป็นการกระตุ้นให้เด็กฝึกคิดทบทวน
การส่งการบ้านก็เช่นกัน การที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ส่งแก้ไขการบ้านหลาย ๆ ครั้ง จะช่วยให้เขาฝึกคิดทบทวน และค่อย ๆ พัฒนาผลงานของเขาให้ดียิ่งขึ้น
12. สำหรับองค์กร จงสร้างความปลอดภัยให้พนักงานกล้าตั้งคำถาม
ดังนั้นแล้ว องค์กรที่ดีจะต้องใช้การบริการที่ทุกคนรู้สึกปลอดภัยในการตั้งคำถาม และชวนคนอื่นให้กลับมาคิดทบทวน ว่าสิ่งที่กำลังจะทำนั้นถูกต้องแล้วรึยัง วิธีที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างวัฒนธรรมแบบนี้ คือให้หัวหน้าลองแชร์เรื่องที่ตัวเองไม่รู้ เรื่องที่ตัวเองพลาด เรื่องที่ตัวเองล้มเหลวออกมาก่อน คนอื่น ๆ จะได้กล้าพูดแบบเปิดอกมากขึ้น
13. Best practice อาจไม่ได้ดีที่สุดเสมอไป
เพราะเมื่อเวลาผ่านไปแล้วมีข้อมูลใหม่ ๆ เข้ามา อาจถึงเวลาที่เราต้องเริ่มคิดทบทวนถึง Best practice หรือแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดขององค์กรกันอีกครั้ง องค์กรที่ดีจึงควรหมั่นทบทวนแนวทางการทำงานของตัวเองอยู่เสมอ
ถ้าในระดับบุคคล การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งต่อเนื่องกันอย่างยาวนานนับเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Grit แต่อย่างไรก็ตาม การยึดติดกับ Grit แบบเดิมไปตลอดอาจไม่ใช่ทางที่ดีเสมอไป เพราะแม้แต่คนเราเองก็เปลี่ยนแปลงได้เมื่อเวลาเปลี่ยนไป การหมั่นคิดทบทวนถึงเป้าหมาย และการลงแรงพยายามของเรา จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ และเราควรทำอยู่เสมอ ๆ
เล่มนี้คงขอเขียนสั้น ๆ ว่าเป็นหนังสือต้องอ่านประจำปี 2022 เพราะเนื้อหาเหมาะกับยุคสมัยนี้มาก และนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทั้งการทำงาน และการตัดสินใจในชีวิตอีกหลาย ๆ เรื่อง จุดเด่นคือ เล่มนี้อ่านสนุก เป็นหนังสือเชิงจิตวิทยา ที่เข้าใจง่าย ไม่ได้มีการอ้างงานวิจัยซับซ้อน (แม้จะมีบ้าง) แต่เน้นการเล่าเรื่องง่าย ๆ ให้เห็นภาพ และให้คนอ่านเอาไปคิดต่อเอง
หนังสือ 300 กว่าหน้า แต่อ่านเพลินตลอดเล่ม บางเรื่องอาจจะแอบยาวไปนิด ก็อ่านข้าม ๆ ไปได้ ส่วนตัวคิดว่าอ่านสนุกกว่าหนังสือเล่มก่อนของ Give and Take
ยังไงเล่มนี้มีคนแนะนำกันเกลื่อนแล้ว ตั้งแต่ท่านผู้ว่ากทม. ชัชชาติ จนไปถึง Bill Gates เพจหลังอ่านขอเป็นอีก 1 เสียง ให้นักอ่านทุกคนลองอ่าน Think Again กันดูสักครั้งครับ
- สนใจสั่งซื้อหนังสือ Think Again ได้ที่ร้าน Attorney285
- ผู้เขียน: Adam Grant
- ผู้แปล: วิโรจน์ ภัทรทีปกร
- จำนวนหน้า: 424 หน้า
- สำนักพิมพ์: วีเลิร์น, สนพ.
- เดือนปีที่พิมพ์: 2022