หมอเมษ์นะคะ เป็นคุณแม่ลูก 1 ตอนนี้ลูกอายุ 3 ขวบ 6 เดือน ตั้งแต่ลูกอายุ 1 เดือน หมอกับสามีก็อ่านนิทานให้ลูกฟังทุกวันค่ะ เรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมที่ขาดไม่ได้เลย อ่านไปเรื่อยๆ
การอ่านหนังสือกับลูก ทำให้ลูกมีคลังคำศัพท์เยอะมาก เมื่อพูดได้ก็มีคำศัพท์มากมายพรั่งพรูออกมาให้ประหลาดใจกันบ่อยๆ
ตอนนี้เมื่อโตขึ้น ลูกชอบฟังผู้ใหญ่อ่านหนังสือมาก ชอบหนังสือทุกประเภท หมอก็ขยับจากหนังสือนิทาน เป็นหนังสืออื่นๆ บ้างค่ะ
ก่อนสองขวบ ลูกไม่ได้ดูจอเลย หลังสองขวบก็ยังดูน้อยค่ะ จนกระทั่งสามขวบกว่าๆ หมอถึงเริ่มให้ดูบ้าง แต่ก็ตกลงกันว่ากี่คลิป และเลือกเนื้อหาของคลิปให้ดู ที่ดูก็มีการ์ตูน peppa pig นานๆ ที นิทานชีวิต ก็นานๆ ครั้ง แต่จะชอบดูคลิปรถไฟ หุ่นยนต์สั้นๆ แล้วจำไปเป็นแบบวาดรูป หรือประดิษฐ์ของเล่นมากกว่า
คือ ถ้าให้เลือกระหว่างหนังสือกับหน้าจอ ลูกก็จะสนใจหนังสือมากกว่า
เมื่อหลายวันก่อนเปิดคลิปนิทานชีวิตให้ลูกชายดูค่ะ เราจึงได้คุยกันเรื่องของเม็ดเลือดแดง
ในนิทานมีการพูดถึงเม็ดเลือดแดงขนออกซิเจน แล้วเดินทางไปส่งให้เซลล์ต่างๆ และได้เห็นว่าเมื่อเม็ดเลือดแดงรับคาร์บอนไดออกไซด์สีจะคล้ำขึ้น แต่เมื่อไปที่ปอดไปปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และรับออกซิเจน สีจะแดงสดขึ้น
พอดีกับที่บ้านเรามีหนังสือเรื่องเกี่ยวกับร่างกาย เราก็เลยมาเปิดดูหาเม็ดเลือดแดงกันค่ะ แล้วก็เจอจริงๆ ด้วย
ในบทสนทนาหมอคุยกับลูกว่า หน้าตาเม็ดเลือดแดงของจริง เหมือนในหนังสือ ในการ์ตูนเป็นเพียงตัวละคร ก็เลยทำออกมาให้ดูน่ารัก
ลูกถามว่า เม็ดเลือดแดงขนออกซิเจนไปไหน
หมอจึงตอบว่า ส่งไปให้เซลล์ (ลูกน่าจะยังไม่ขนาดเข้าใจเรื่องเซลล์มากค่ะ) และอธิบายเพิ่มเติมว่า เซลล์ก็เหมือนแหล่งผลิตสิ่งต่างๆ ต้องการออกซิเจนไปช่วยทำให้เซลล์ทำงานได้ปกติ เม็ดเลือดแดงก็เหมือนพี่ driver ขนออกซิเจนไปส่งตามบ้านต่างๆ บ้านแต่ละหลังก็เหมือนเซลล์แต่ละเซลล์ครับ
อยากมาแชร์เรื่องทริคการอ่านหนังสือกับลูกที่บ้านเราทำนะคะ
1. อ่านนิทานเป็นจุดเริ่มต้น ไม่จำเป็นต้องรอให้ลูกเข้าใจ เราเริ่มอ่านได้เลยเมื่อตารางเวลาชีวิตเราลงตัว
2. การอ่านนิทาน ไม่ใช่เพื่อให้ลูกเข้าใจ แต่เพื่อเป็นการจัดระบบชีวิตเราเองว่าในเวลานี้ตอนนี้เราจะอยู่กับลูก และลูกจะมีเรา เป็นการใช้เวลาร่วมกัน หรือที่หลายคนเรียกว่า เวลาคุณภาพ
3. การอ่านนิทานอ่านเวลาไหนก็ได้ แต่ถ้าอ่านก่อนนอน ก็จะมีประโยชน์ในแง่ของการสร้าง routine bedtime ที่จะทำให้ลูกเตรียมความพร้อมสำหรับการนอน คลื่นสมองจะปรับตัวเพื่อเตรียมตัวนอน เป็นการฝึกการนอนแบบมีคุณภาพที่หนังสือและผู้เชี่ยวชาญหลายๆ คนแนะนำ
4. ทำให้ช่วงเวลาการอ่านนิทานเป็นช่วงเวลาที่สนุก ลูกจะได้รู้สึกมีความสุขกับการอ่าน เราไม่จำเป็นต้องอ่านเรียงจากหน้าไปหลัง ถ้าลูกจะเล่นก็ปล่อยให้เล่นไป เราก็อ่านไปเรื่อยๆ เชื่อเถอะค่ะว่าลูกฟังอยู่
5. อ่านเล่มเดิมๆ ซ้ำๆ ก็ไม่เป็นไรค่ะ ให้ลูกได้เลือกเองตามความสนใจ เพราะแม้เนื้อหาเดิมๆ รูปเดิมๆ แต่ความเชื่อมโยงที่เกิดในสมองลูกไม่เหมือนเดิมเลยสักครั้งค่ะ
6. ไม่จำเป็นต้องมีนิทานเยอะหลายเล่ม แค่ลงมือเอาตัวเองลงไปอ่านกับลูก ก็มีประโยชน์ค่ะ จะแต่งเองก็ได้ หรือจะ print จาก internet ก็ได้ แต่การอ่านหรือเล่าด้วยตัวเอง ได้ประโยชน์กว่าการเปิดคลิปนิทาน หรือ การเปิดเสียงนิทานนะคะ เพราะวัยของลูกต้องการปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ โดยเฉพาะพ่อแม่ค่ะ
7. กรณีเลี้ยงลูก 2 ภาษา ถ้าอ่านภาษาอังกฤษไม่จำเป็นต้องแปล ไม่ต้องกลัวลูกไม่เข้าใจ เพราะลูกเริ่มต้นจากความไม่เข้าใจสักภาษาค่ะ เขาสามารถเรียนรู้ทั้งสองภาษาไปพร้อมๆ กันได้
ยกเว้นลูกจะมีภาษาหลักเด่นชัดแล้ว แต่ถึงไม่แปล เด็กๆ ก็เข้าใจอยู่ดีค่ะ
เวลาออกไปข้างนอก ถ้ามีหนังสือ แผ่นพับ หรือประกาศ ก็จะสนใจ หรือเวลาเห็นป้ายข้างทาง ก็จะชวนกันอ่าน หรือถ้าเป็นตัวเลข ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่เป็นคำง่ายๆ ลูกก็จะเริ่มอ่านเองค่ะ ทำให้เราสามารถเรียนรู้จากสิ่งรอบตัวได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาจอเลย
ตอนนี้ปัญหาหลักๆ ของบ้านเราจะเป็นลูกอยากให้อ่านเยอะไปมากกว่า ตอนกลางคืนกว่าจะยอมนอน ต้องตกลงกันก่อนว่าคืนนี้กี่เล่ม (แต่ก็ชอบขอแถม ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะแถมเพราะแม่ง่วง 555) หรือแม้แต่ตอนกินข้าว ก็อยากให้อ่านนิทานหรือหนังสือให้ฟังด้วย ก็ต้องคุยว่าปากยังไม่ว่าง เพราะแม่ก็จะกินเหมือนกัน ดูรูปไปก่อนนะ
หมอเมษ์
Kapook Creator เป็นเนื้อหาที่นำเสนอโดยผู้สร้างสรรค์ที่เข้าร่วมโครงการ หากพบเนื้อหาที่ท่านเห็นว่าไม่ถูกต้องตามกติกา สามารถคลิกแจ้งปัญหาได้ที่นี่
