เคยสงสัยไหมคะ บางครั้งลูกพูดว่า "หนูไม่มีประโยชน์ หนูไม่เก่ง หนูทำไม่ได้" และชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ทั้งๆ ที่พ่อแม่เน้นการเสริมสร้าง self-esteem ใช้คำพูดเชิงบวกกับลูก ชื่นชมแบบที่ทำให้ลูกมี growth mindset และไม่เคยพูดเปรียบเทียบลูกกับใคร แต่ทำไมลูกยังมีความคิดแบบนี้อีก
หมอสงสัยค่ะ เพราะว่าลูกชายวัย 5 ขวบกำลังอยู่ในวัยที่มีพฤติกรรมเหล่านี้ หมอจึงไปค้นหาคำตอบและอยากมาแชร์ค่ะ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับครอบครัว หรือคุณครูที่ดูแลเด็กๆ ในวัยเดียวกันนะคะ ยาวอีกแล้วน้า จะพยายามค่อยๆ เรียบเรียงค่ะ
แม้ว่าพ่อแม่อาจจะพยายามเสริมสร้าง self-esteem ให้กับลูกอย่างเต็มที่แล้วนะคะ แต่เด็กวัยอนุบาลก็ยังมีแนวโน้มที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นอยู่นะคะ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นพฤติกรรมตามพัฒนาการ เด็กจะต้องผ่านช่วงเวลานี้ไปจึงจะเติบโตเข้าสู่ขั้นต่อไปของพัฒนาการได้ค่ะ ซึ่งความเข้าใจของคนเลี้ยงคนดูแลมีส่วนสำคัญมากที่จะช่วยให้เด็กๆ ผ่านช่วงเวลาของพัฒนาการนี้ไปได้แบบไม่มีบาดแผลในใจ เรามาดูทีละหัวข้อกันเลยนะคะ
- สาเหตุที่อาจจะเป็นไปได้ที่ทำให้ลูกพูดหรือแสดงออกแบบนั้นมีหลายสาเหตุ ที่รวบรวมมาได้มีประมาณนี้ค่ะ
1. พัฒนาการทางความคิด: เด็กวัยนี้เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเองแล้วนะคะ ลูกเริ่มเข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคล และสามารถเปรียบเทียบตัวเองกับเด็กคนอื่นๆ หรือผู้ใหญ่คนอื่นๆ ได้เอง เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้เกี่ยวกับโลกและสถานที่ของตัวเอง และเด็กจะประเมินตัวเองว่าตัวเองอยู่ในจุดไหน ทำได้ดีกว่า ด้อยกว่า หรือเท่ากัน
2. อิทธิพลจากสื่อ: เด็กๆ ในยุคนี้มักจะรับสื่อต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน หนังสือ และรายการโทรทัศน์ ซึ่งมักจะนำเสนอภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ สิ่งนี้อาจทำให้เด็กๆ รู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับตัวละครในสื่อได้ค่ะ การรับสื่อต่างๆ จึงควรมีการคัดกรองโดยผู้ปกครอง หรือคุณครูผู้ดูแล เพราะสื่อมีอิทธิพลกับความคิดมากๆ ไม่เว้นแม้แต่เด็กอนุบาลค่ะ
3. แรงกดดันจากเพื่อน: เด็กวัยอนุบาล จะเป็นวัยเริ่มต้นของการเข้าสังคมตามพัฒนาการ เด็กจึงย้ายศูนย์กลางจากตัวเอง ออกสู่ภายนอกมากขึ้น จะเริ่มมองความพอใจและไม่พอใจของคนอื่น โดยเฉพาะคนใกล้ชิด สำหรับในสังคมโรงเรียน เด็กจะเริ่มสนใจความคิดของผู้อื่นที่มีต่อตัวเอง จะเริ่มมีความกังวลว่าเพื่อนจะคิดอย่างไรกับตัวเอง อาจเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนในเรื่องต่างๆ เช่น ความสามารถทางกายภาพ ทักษะทางสังคม และข้าวของเครื่องใช้
4. ความคาดหวังของผู้ใหญ่: เด็กอนุบาลจะไวกับความคิดความรู้สึกของคนใกล้ชิดมากๆ นะคะ รวมถึงความคาดหวังของผู้ใหญ่รอบข้างที่เด็กให้ความสำคัญ เช่น พ่อแม่ ครู และโค้ช ซึ่งหลายครั้งอาจจะเผลอสร้างค่านิยม มาตรฐาน หรือต้นแบบในอุดมคติเอาไว้ ซึ่งเด็กก็จะพยายามเปรียบเทียบตัวเองกับมาตรฐานเหล่านี้ และรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ
- ทำไมลูกจึงพูดว่า "ฉันไม่เก่ง" "ฉันไม่มีประโยชน์"?
แม้ว่าพ่อแม่อาจจะไม่เคยปลูกฝังความคิดเหล่านี้ แต่เด็กๆ อาจพูดออกมาด้วยเหตุผลต่างๆ ดังนี้
1. ต้องการเรียกร้องความสนใจ: เด็กๆ อาจเรียนรู้ว่าการพูดว่า "ฉันไม่เก่ง" หรือ "ฉันไม่มีประโยชน์" นั้นสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้ใหญ่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการดึงดูดความสนใจแล้วตอบสนองในด้านดี หรือด้านลบ แต่ก็ทำให้ผู้ใหญ่สนใจ การจะลดพฤติกรรมเหล่านี้ อาจจะไม่ใช่การเพิกเฉยเมื่อลูกเรียกร้อง แต่อาจจะต้องเพิ่มความสนใจให้มากขึ้น ไม่ว่าพฤติกรรมทางบวกหรือทางลบของลูก โดยเมื่อลูกมีพฤติกรรมทางบวกก็เสริมแรงด้วยคำชื่นชม จะลดพฤติกรรมลบได้ค่ะ
2. รู้สึกหงุดหงิด: เมื่อเด็กๆ รู้สึกหงุดหงิดหรือโกรธคนอื่นหรือตัวเอง เนื่องจากวัยนี้เป็นวัยอยากรู้อยากลองอยากเรียนสิ่งใหม่ๆ แต่ข้อจำกัดทางกายภาพหลายอย่างอาจจะทำให้ไม่สามารถทำสิ่งที่คิดได้ จึงทำให้เด็กรู้สึกหงุดหงิดตัวเอง และแสดงพฤติกรรมด้านลบหลายๆ อย่างออกมา
3. ต้องการความช่วยเหลือ: เมื่อเด็กๆ อาจพูดว่า "ฉันไม่เก่ง" หรือ "ฉันไม่มีประโยชน์" เป็นการแสดงออกของการขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ ในเวลาแบบนี้ผู้ใหญ่ควรเข้าหา และไม่เพิกเฉย ซึ่งระดับของความช่วยเหลือมีได้หลายระดับนะคะ ไม่จำเป็นต้องช่วยทำทั้งหมด สิ่งสำคัญอยู่ที่การเข้าหาและการตอบสนอง
4. กำลังเรียนรู้: เด็กๆ กำลังเรียนรู้เกี่ยวกับอารมณ์และวิธีการแสดงออก พวกเขาอาจยังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดเหล่านี้
- ทฤษฎีที่อธิบายพฤติกรรมนี้ของเด็กๆ มีอะไรบ้าง? เรามาดูกันค่ะ ว่ามีใครอธิบายพฤติกรรมเหล่านี้ของเด็กๆ ไว้บ้าง
1. ทฤษฎีพัฒนาการทางจิตสังคมของอีริคสัน (Erikson's Psychosocial Theory):
ทฤษฎีนี้เสนอว่าพัฒนาการของเด็กแบ่งเป็น 8 ขั้นตอน โดยแต่ละขั้นตอนเด็กจะเผชิญกับวิกฤต (crisis) ที่เด็กต้องแก้ไขเพื่อพัฒนาต่อในขั้นตอนถัดไปค่ะ
ในช่วงวัยอนุบาล เด็กอยู่ใน "ขั้นตอนความคิดริเริ่ม กับ ความรู้สึกด้อยค่า" (Initiative vs. Guilt) เป็นหนึ่งในขั้นตอนพัฒนาการทางจิตสังคมตามทฤษฎีของ อีริคสันค่ะ
เด็กในวัยนี้ (ประมาณ 3-6 ปี) เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง ริเริ่มทำสิ่งต่างๆ และอยากลองทำสิ่งใหม่ ซึ่งจะมาพร้อมกับความกลัวความล้มเหลว และเด็กก็เริ่มเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น รู้สึกด้อยค่าหากทำอะไรไม่ได้ดีเท่าผู้อื่น
Initiative vs. Guilt หรือ "ขั้นตอนความคิดริเริ่ม กับ ความรู้สึกด้อยค่า" เด็กเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง อยากลองทำสิ่งใหม่ๆ ริเริ่มกิจกรรมต่างๆ และอยากแสดงออกถึงความสามารถของตัวเอง
ตัวอย่างพฤติกรรมของเด็กที่แสดงถึง "Initiative" นะคะ
- ชอบเล่นบทบาทสมมุติ เช่น เล่นเป็นคุณหมอ คุณครู หรือตำรวจ
- ชอบเล่นเกมที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ เช่น วาดรูป ปั้นดินสอ หรือต่อเลโก้
- ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เช่น เก็บของเล่นให้เข้าที่ หรือช่วยคุณแม่ล้างจาน
- ชอบตั้งคำถาม อยากรู้อยากเห็น และต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
- ชอบลองทำสิ่งใหม่ๆ แม้จะไม่เคยทำมาก่อน
อย่างไรก็ตาม เด็กวัยนี้ยังมีความเปราะบางทางอารมณ์ พ่อแม่จึงอาจจะต้องเพิ่มความละเอียดอ่อนต่อเด็กๆ ลูกอาจรู้สึกกลัวความล้มเหลว กลัวการถูกวิพากษ์วิจารณ์ และกลัวว่าตัวเองจะด้อยกว่าผู้อื่น หากลูกเผชิญกับความล้มเหลวหรืออุปสรรคบ่อยครั้ง ลูกอาจรู้สึกด้อยค่า สูญเสียความมั่นใจ และเลิกริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ
ตัวอย่างพฤติกรรมของเด็กที่แสดงถึง "Guilt" นะคะ
- พูดว่า "ฉันทำไม่ได้" หรือ "ฉันไม่เก่ง" บ่อยๆ
- รู้สึกหงุดหงิด โกรธ หรือเศร้า เมื่อทำอะไรผิดพลาด
- ไม่กล้าลองทำสิ่งใหม่ๆ เพราะกลัวความล้มเหลว
- เปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น และรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า
- รู้สึกเหมือนเป็นภาระ หรือสร้างปัญหาให้กับผู้อื่น
ประมาณนี้ค่ะ ซึ่งเราจะมาดูต่อในหัวข้อต่อไปนะคะว่าควรจะรับมือยังไง ให้ลูกผ่านช่วงพัฒนาการนี้ไปได้แบบ healthy ค่ะ
2. ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมของแบนดูร่า (Bandura's Social Learning Theory):
ทฤษฎีต่อมาเสนอว่าเด็กเรียนรู้พฤติกรรมจากการสังเกตและเลียนแบบผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่เด็กเคารพและชื่นชม เด็กวัยอนุบาลมักจะเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อแม่ ครู และเพื่อน หากเด็กสังเกตเห็นว่าผู้ใหญ่รอบข้างเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น พูดเชิงลบเกี่ยวกับตัวเอง หรือแม้แต่วิพากษ์วิจารณ์เด็กคนอื่น เด็กก็มีแนวโน้มที่จะเรียนรู้พฤติกรรมเหล่านี้และนำมาใช้กับตัวเองเช่นกันค่ะ
การวิพากษ์วิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นต่อบุคคลอื่นกับเด็กจึงต้องระมัดระวังอย่างมากนะคะ ไม่ว่าจะเป็นด้านดีหรือด้านลบ เพราะสมองของเด็กวัยนี้ซับซ้อนเกินคาดค่ะ
3. พัฒนาการทางภาษา:
เด็กวัยอนุบาลกำลังพัฒนาความสามารถทางภาษา ลูกจะเริ่มเข้าใจความหมายของคำพูดต่างๆ รวมถึงคำพูดเชิงลบ ลูกอาจพูดคำพูดเชิงลบเกี่ยวกับตัวเองโดยไม่ได้เข้าใจความหมายที่แท้จริง หรืออาจพูดเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้ใหญ่ก็เป็นไปได้ค่ะ
4. ปัจจัยด้านอารมณ์:
เด็กวัยอนุบาลยังมีพัฒนาการทางอารมณ์ที่จำกัด ลูกอาจควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ไม่ดี รู้สึกหงุดหงิด โกรธ หรือเศร้าได้ง่าย เมื่อลูกมีอารมณ์เหล่านี้ ลูกอาจพูดคำพูดเชิงลบเกี่ยวกับตัวเองเพื่อแสดงออกถึงความรู้สึก
5. ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม:
ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การเลี้ยงดู บรรยากาศในครอบครัว และประสบการณ์ทางสังคม ล้วนส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างอบอุ่น ได้รับการสนับสนุนจากพ่อแม่ และมีประสบการณ์ทางสังคมที่ดี มักจะมีพัฒนาการทางจิตใจที่ดี มีความมั่นใจในตนเอง และไม่ค่อยเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น
แต่ถึงอย่างนั้น เด็กที่เปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผลจากการเลี้ยงดูอย่างเดียวนะคะ เพราะตามที่เขียนด้านบน การเปรียบเทียบเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการ เป็นขั้นตอน internal audit และแม้ว่าเด็กๆ จะมีการเปรียบเทียบอยู่แล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าการที่ผู้ใหญ่เปรียบเทียบเด็กกับคนอื่นจะเป็นเรื่องที่ควรทำ เพราะอะไร เดี๋ยวจะเขียนต่อในด้านล่างนะคะ
- พ่อแม่แบบเราควรตอบสนองอย่างไร?
1. เน้นย้ำข้อดีของเด็ก: บอกลูกเกี่ยวกับสิ่งที่คุณชื่นชมในตัวพวกเขา พูดถึงจุดแข็ง ความสามารถ และความพยายามของพวกเขา
2. สอนให้ลูกมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายของตัวเอง: แทนที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาตัวเอง
3. เป็นแบบอย่างที่ดี: ลูกเรียนรู้จากพฤติกรรมของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะพ่อแม่นะคะ สิ่งที่พ่อแม่สามารถทำได้ คือ การพัฒนาตัวเอง และ แสดงให้ลูกเห็นว่าคุณไม่เปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น และมีความสุขกับจุดแข็งและจุดอ่อนของคุณ
4. พูดคุยกับลูก: พูดคุยกับลูกเกี่ยวกับความรู้สึกของลูก รับฟังลูกอย่างตั้งใจ และช่วยให้ลูกเข้าใจอารมณ์ของตัวเอง
5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากคุณพ่อคุณแม่กังวลเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูก แนะนำปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเด็กค่ะ สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่า เด็กทุกคนพัฒนาแตกต่างกัน การเปรียบเทียบเด็กกับผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ พ่อแม่ควรมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายของลูก พัฒนาจุดแข็ง และมีความสุขกับจุดแข็งและจุดอ่อนของพวกเขา โดยสิ่งที่พ่อแม่ควรทำ เพื่อให้ลูกผ่านพัฒนาการช่วงนี้แบบมีคุณภาพ ได้แก่
- สนับสนุนให้ลูกริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ: ให้โอกาสลูกได้ลองทำสิ่งที่สนใจ ให้กำลังใจ และชื่นชมความพยายามของลูก ไม่ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ตาม
- ช่วยให้ลูกเรียนรู้จากความผิดพลาด: สอนให้ลูกเข้าใจว่าความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ อธิบายให้ลูกเข้าใจว่าทุกคนทำผิดพลาดได้ และสอนให้ลูกหาวิธีแก้ไข ที่สำคัญที่สุด ตัวของพ่อแม่เองก็ต้องทำให้ได้เพื่อเป็นตัวอย่างให้ลูกด้วยนะคะ
- ส่งเสริมให้ลูกมีความมั่นใจในตนเอง: พูดคุยกับลูกเกี่ยวกับจุดแข็ง ความสามารถ และคุณค่าของลูก บอกและแสดงออกให้ลูกรู้ว่าคุณรักและภูมิใจในตัวของลูก
- เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก: แสดงให้ลูกเห็นว่าคุณมีความคิดริเริ่ม กล้าลองทำสิ่งใหม่ๆ และไม่กลัวความล้มเหลว
- หลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบเด็กกับผู้อื่น: เปรียบเทียบลูกกับตัวเองเท่านั้น เน้นที่ความก้าวหน้าของลูก ไม่ใช่เปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น
คุณพ่อคุณแม่ควรรู้ว่าพัฒนาการของเด็กแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรคาดหวังให้เด็กทุกคนมีพฤติกรรมเหมือนกัน สิ่งสำคัญคือ พ่อแม่ควรเข้าใจพัฒนาการของเด็ก สนับสนุน ให้กำลังใจ และช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทางจิตใจที่ดี มีความมั่นใจในตนเอง และมีความสุข
- บทบาทของคุณครูในการช่วยให้เด็กผ่านช่วง "Guilt" ไปได้โดยไม่เกิดปัญหาพฤติกรรม
มาถึงด้านของคุณครูบ้างนะคะ เนื่องจากวัยนี้เด็กๆ ไปโรงเรียนกันแล้ว ครูจึงเป็น key person ที่สำคัญที่จะช่วยให้เด็กๆ ผ่านขั้นตอนนี้ได้ด้วยค่ะ ถ้าครูเข้าใจ จะช่วยลดปัญหาพฤติกรรมได้เยอะเลยค่ะ
1. สร้างบรรยากาศในชั้นเรียนที่ปลอดภัยและสนับสนุน:
- เน้นการให้กำลังใจ ชมเชย และชื่นชมความพยายามของเด็ก มากกว่าการเน้นผลลัพธ์
- สอนให้เด็กรู้จักการเคารพซึ่งกันและกัน เรียนรู้จากความผิดพลาด และไม่กลัวความล้มเหลว
- สร้างบรรยากาศที่เด็กกล้าแสดงออก ริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ และไม่กลัวที่จะถามคำถาม
2. ใช้คำพูดที่สร้างสรรค์และส่งเสริมให้เด็กมีความมั่นใจ:
"เก่งมากเลยค่ะ ที่หนูลองทำ"
"ไม่เป็นไรนะคะที่หนูทำผิดพลาด ทุกคนทำผิดพลาดได้"
"ครูเชื่อในตัวหนูนะว่าหนูทำได้"
"หนูมีความคิดสร้างสรรค์มาก"
"ครูภูมิใจในตัวหนูนะ"
"ทำไมทำอย่างนั้นไม่ได้ล่ะ"
"ไม่เป็นไรหรอก หนูทำไม่ได้หรอก"
"ทำไมไม่เก่งเหมือนคนอื่น"
"อย่าทำอย่างนั้นนะ เดี๋ยวเพื่อนจะล้อ"
"ครูผิดหวังในตัวหนูนะ"
3. สนับสนุนให้เด็กเรียนรู้จากความผิดพลาด:
- อธิบายให้เด็กเข้าใจว่าความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
- สอนให้เด็กหาวิธีแก้ไขความผิดพลาด
- ช่วยให้เด็กมองหาแง่ดีจากความผิดพลาด
- เน้นย้ำว่าทุกคนทำผิดพลาดได้ สิ่งสำคัญคือต้องเรียนรู้จากมัน
4. หลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบเด็กกับผู้อื่น:
- เปรียบเทียบเด็กกับตัวเองเท่านั้น เน้นที่ความก้าวหน้าของเด็ก ไม่ใช่เปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น
- อธิบายให้เด็กเข้าใจว่าแต่ละคนมีความแตกต่างกัน มีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกัน
- สอนให้เด็กมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายของตัวเอง ไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร
5. สังเกตพฤติกรรมของเด็กและให้ความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น:
- สังเกตว่าเด็กมีพฤติกรรมที่แสดงถึง "Guilt" หรือไม่ เช่น พูดว่า "ฉันทำไม่ได้" หรือ "ฉันไม่เก่ง" บ่อยๆ ร้องไห้ หงุดหงิด หรือเก็บตัว
- พูดคุยกับเด็กเกี่ยวกับความรู้สึกของเด็ก รับฟังเด็กอย่างตั้งใจ และช่วยให้เด็กเข้าใจอารมณ์ของตัวเอง
- ให้คำแนะนำและกำลังใจแก่เด็ก อธิบายให้เด็กเข้าใจว่าทุกคนทำผิดพลาดได้ สิ่งสำคัญคือต้องเรียนรู้จากมัน
- หากเด็กมีปัญหาพฤติกรรมรุนแรง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเด็ก
- พ่อแม่ หรือครูมีพฤติกรรมแบบไหนที่จะทำให้เด็กแย่ลง
หัวข้อสุดท้ายแล้วค่ะ มาถึงพฤติกรรมที่พ่อแม่และครูควรหลีกเลี่ยง เพื่อจะลดปัญหาพฤติกรรมที่จะทำให้เด็ก fix กับพัฒนาการขั้นนี้ และไม่พัฒนาไปขั้นต่อไป
1. ตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์ หรือลงโทษเด็ก: พฤติกรรมเหล่านี้จะทำให้เด็กยิ่งรู้สึกด้อยค่ามากขึ้นค่ะ ทำให้เด็กสูญเสียความมั่นใจ และอาจนำไปสู่ปัญหาพฤติกรรมอื่นๆ เช่น การก้าวร้าว การเก็บตัว หรือภาวะซึมเศร้า เป็นไปได้หมดเลย ทั้งนี้การลงโทษก็มีแบบที่สร้างสรรค์และไม่สร้างบาดแผลทางจิตใจ สามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้นะคะ
2. เปรียบเทียบเด็กกับผู้อื่น: พฤติกรรมนี้จะทำให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า สูญเสียความมั่นใจ และอาจนำไปสู่ปัญหาการแข่งขัน ความริษยา หรือการกลั่นแกล้ง
3. ไม่ให้ความสนใจ ไม่รับฟัง หรือไม่ช่วยเหลือเด็ก: พฤติกรรมนี้จะทำให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า ถูกทอดทิ้ง และอาจนำไปสู่ปัญหาทางอารมณ์ เช่น ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้าได้ค่ะ
ทั้งหมดนี้คือข้อมูลที่รวบรวมมาเพื่ออธิบายว่า ทำไมบางครั้งลูกจึงบอกว่าตัวเองไม่มีประโยชน์ ไม่เก่ง รวมถึงเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆ ทั้งๆ ที่พ่อแม่ไม่เคย input ข้อมูลเหล่านั้น เหตุผลเพราะเป็นพัฒนาการตามวัยค่ะ ความเข้าใจพัฒนาการตามวัย จะทำให้เราตอบสนองและดูแลลูกได้เข้าที่เข้าทางมากขึ้น และช่วยให้ลูกผ่านพ้นช่วงวิกฤตินี้ข้ามไปสู่ step ถัดไปของพัฒนาการได้แบบไม่ต้องเจ็บปวดมากนักนะคะ
หมอเมษ์
References แปะไว้เผื่อใครอยากไปอ่านเพิ่มเติมนะคะ
1. Piaget, J. (1952). The origins of intelligence in children. New York: International Universities Press.
2.Santrock, J. W. (2016). A development perspective on child psychology (9th ed.). New York: McGraw-Hill Education.
3. American Academy of Pediatrics. (2021, November 9). Children and media use.
R. Rideout, V. J., Foehr, U. G., & Roberts, D. F. (2010). Media use among youth: Bridging the digital divide.
5. Buhs, E. S., & Ladd, G. H. (2001). Peer relationships in childhood and adolescence. New Jersey: Lawrence Erlbaum Associates.
6. Wentzel, K. R., & Bukowski, W. J. (2003). Friendship and peer relationships in childhood.
7. Harter, S. (1999). The construct of self-worth in youth. In M. R. Lamb, A. M. Brown, & B. J. Lamb (Eds.), Parenting and child development (pp. 202-230). Thousand Oaks, CA: Sage Publications.
8. Marsh, J. A. (1996). Self-esteem: A construct in search of definition and measurement.
9. Greenbaum, C. W., & Berndt, T. J. (1990). Self-esteem and the perception of social support. Journal of Personality and Social Psychology, 58(6), 1018-1026.
10. Golen-Hoeksema, S., & Dweck, C. S. (2006). The development of depressive symptoms in adolescents: Understanding the role of self-esteem and self-perception of competence.
11. Baumrind, D. (1991). The role of parents in child development.
12. Eccles, J. S., & Wigfield, A. W. (2009). What motivates youths to learn?
13. Erikson, E. H. (1950). Childhood and society. New York: W. W. Norton & Company.
14. Erikson, E. H. (1963). Identity and the life cycle. Psychological Issues, 1(1), 1-185.
15. Bandura, A. (1977). Social learning theory. Englewood Cliffs, NJ: Prentice-Hall.
16. Bandura, A. (1986). Social foundations of thought and action: A social cognitive theory. Englewood Cliffs, NJ: Prentice-Hall.
17. Bloom, L. (1970). Language development and language learning. In R. Brown (Ed.), Psycholinguistics (pp. 201-252). New York: The Free Press.
18. Bruner, J. (1983). Child's talk: Learning to use language. Oxford, UK: Oxford University Press.
19. Saarni, C. (1999). Emotional development: A theoretical perspective. In W. Damon & R. M. Lerner (Eds.), Handbook of child development: Vol. 3. Social, emotional, and personality development (pp. 261-309). New York: McGraw-Hill.
20. Thompson, R. A. (1994). Individual differences in emotion and temperament. In R. V. Kail (Ed.), Advances in child development and behavior (Vol. 26, pp. 245-313). San Diego, CA: Academic Press.
21. Bronfenbrenner, U. (1979). The ecology of human development. Cambridge, MA: Harvard University Press.
22. Belsky, J., & Bates, A. E. (2007). Developmental timing and stability: A view from the extended family. Child Development, 78(2), 236-254.
23. Cohen, J. A., & Montemayor, J. (2005). Social-emotional development in preschool. In W. Damon, D. Kuhn, & R. M. Lerner (Eds.), Handbook of child development: Vol. 4. Early childhood and middle childhood (pp. 375-436). New York: Elsevier.
24. Piankoff, M. (2010). Promoting social and emotional development in preschool.
Kapook Creator เป็นเนื้อหาที่นำเสนอโดยผู้สร้างสรรค์ที่เข้าร่วมโครงการ หากพบเนื้อหาที่ท่านเห็นว่าไม่ถูกต้องตาม
กติกา สามารถคลิก
แจ้งปัญหาได้ที่นี่