เมื่อ “แพนเค้ก” ถูกนำมาใช้สู้กับญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 อาจจะเรียกได้ว่า ความชาญฉลาดของมนุษย์นั้นไร้ขีดจำกัด
ไม่มีใครเคยคิดว่าจะสามารถลักลอบนำทหารเข้าไปซ่อนอยู่ในม้าไม้เพื่อแอบเข้าไปในป้อมปราการของศัตรูได้ และแม้แต่ทหารเพียงไม่กี่คนที่สามารถเข้าไปได้นั้น ก็ไม่น่าจะสามารถเปิดประตูเมืองได้ทันเวลาเพื่อให้พันธมิตรของพวกเขาบุกเข้าไปและช่วยเหลือตนเองได้
เรื่องนี้เคยถูกมองว่าเป็นไปไม่ได้จนกระทั่ง “ม้าโทรจัน (Trojan Horse)” ได้ทำให้มันเป็นไปได้จริง (ถึงแม้อาจจะเป็นเพียงตำนานก็ตาม)
การที่มนุษย์นับร้อยจะสามารถบินไปด้วยกันในยานโลหะนั้น ในยุคแห่งการรู้แจ้ง (Enlightenment) คงถูกมองว่าเป็นเรื่องตลก
ทั้งที่ยุคนั้นเต็มไปด้วยผู้ที่มีมันสมองระดับอัจฉริยะ แต่การที่จะทำให้คนเพียงแค่คนเดียวบินได้อย่างปลอดภัย ก็คงถูกมองว่าเป็นสิ่งที่มีเพียงพระเจ้าจึงจะทำได้ มันเคยเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จนกระทั่ง “พี่น้องตระกูลไรต์ (Wright Brothers)” ตั้งปณิธานว่าจะพิชิตน่านฟ้าและบินด้วยเครื่องบินลำแรกของโลก
ที่ผ่านมานั้น โลกได้เผชิญกับสงครามโลกมาแล้วสองครั้ง และในทั้งสองครั้งนั้น ความชาญฉลาดของมนุษย์ก็ได้ทำลายขีดจำกัดของสิ่งที่เคยถูกมองว่าเป็นไปไม่ได้ เทคโนโลยีด้านอาวุธได้พัฒนาไปไกลราวกับก้าวกระโดดในชั่วข้ามคืน เมื่อมันสมองที่เก่งที่สุดของโลกถูกบีบบังคับให้สร้างอาวุธทำลายล้างสูง
สงครามโลกครั้งที่สองจบลงด้วยจุดสูงสุดของทั้งเทคโนโลยีและความโหดร้าย นั่นคือการทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ
ระเบิดที่ถูกทิ้งนั้น เป็นทั้งของขวัญและคำสาปของอัจฉริยะและความคิดสร้างสรรค์ เมื่อมันตกอยู่ในมือของผู้ที่ไม่สามารถแยกแยะได้ระหว่างความดีทางศีลธรรมกับความชั่วร้าย
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง มีอาวุธอีกอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความแยบยลขั้นสูงสุดซึ่งมักถูกมองข้ามไปจากผู้คน
“แพนเค้ก”
เรื่องราวนี้เป็นอย่างไร ผมจะเล่าให้ฟัง
“จอร์จ บอกนาโดวิช คิสเตียคอฟสกี (George Bognadovich Kistiakowsky)” เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันที่เกิดในยูเครน โดยเขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านเคมีฟิสิกส์ และเป็นหนึ่งในคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ด้วยความเก่งกาจ สหรัฐอเมริกาจึงเล็งเห็นถึงทักษะของเขาในฐานะนักเคมีผู้เชี่ยวชาญ จึงดึงตัวเขาเข้ามาทำงานพัฒนาอาวุธให้กับกองทัพอเมริกัน
ภายใต้หน่วยงานคณะกรรมการวิจัยกลาโหมแห่งชาติ (National Defense Research Committee) คิสเตียคอฟสกีได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าฝ่าย A-1 ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการพัฒนาวัตถุระเบิด และต่อมา ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่าย B ซึ่งรับผิดชอบด้านระเบิด ก๊าซ เชื้อเพลิง และสารเคมีต่างๆ
คิสเตียคอฟสกีรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่งกับระดับความรู้ของฝ่ายอเมริกันเกี่ยวกับวัตถุระเบิดและเชื้อเพลิงขับดัน โดยเขามุ่งเน้นการทำงานกับสารประกอบที่ชื่อว่า “RDX” ซึ่งเป็นวัตถุระเบิดทรงพลังที่คิดค้นโดยชาวอังกฤษ เมื่อทางการอเมริกันขอให้เขาช่วยสร้างวัตถุระเบิดที่สามารถลักลอบส่งให้ฝ่ายจีนหลังแนวรบของศัตรูได้ เขาก็คิดค้นวิธีการหนึ่งที่ไม่เหมือนใครขึ้นมา
คิสเตียคอฟสกีเสนอว่า สารประกอบ HMX ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิต RDX สามารถนำมาผสมกับแป้งแพนเค้ก เพื่อสร้าง “แป้งระเบิด” ที่สามารถลักลอบผ่านแนวป้องกันของญี่ปุ่นได้โดยไม่ถูกตรวจจับ และแป้งชนิดนี้มีชื่อว่า “Aunt Jemima”
จุดเด่นของวัตถุระเบิดนี้ก็คือ หากผู้ลักลอบขนส่งถูกจับตัว และถูกบังคับให้กินแป้งดังกล่าว ก็สามารถกินได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่ถ้าเติมตัวจุดระเบิดลงไปในแป้งชนิดเดียวกันนั้น ก็จะกลายเป็นระเบิดร้ายแรงขึ้นมาทันที
มีการประมาณคร่าวๆ ว่าแป้งแพนเค้กผสมระเบิดนี้ถูกส่งไปยังฝ่ายจีนมากถึง 15 ตันเพื่อใช้ในการต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
อันที่จริง เหตุผลที่ทำให้ชื่อเสียงของคิสเตียคอฟสกีโด่งดังไปทั่วโลก ก็ไม่ใช่เพราะแป้งแพนเค้กผสมระเบิดหรอก แต่เป็นเรื่องที่มืดมนและน่าสะพรึงกลัวกว่านั้นมาก
คิสเตียคอฟสกีถูกดึงตัวเข้าร่วมโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ที่ใช้เทคโนโลยี “การระเบิดแบบยุบตัวเข้าศูนย์กลาง (implosion)”
ในตอนแรก สหรัฐอเมริกาพยายามพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์แบบปืนยิงที่ใช้พลูโทเนียม แต่พบว่าพลูโทเนียมจากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์มีพลูโทเนียม-240 เป็นผลพลอยได้ ซึ่งเป็นไอโซโทปที่ทำให้ปฏิกิริยาฟิชชันเกิดก่อนเวลา จึงไม่สามารถใช้ในแบบปืนยิงได้ โครงการใหม่จึงถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างระเบิดนิวเคลียร์แบบใหม่ และคิสเตียคอฟสกีก็เข้าร่วมกับโครงการนี้ แม้ในตอนแรกเขาจะลังเล โดยให้เหตุผลว่า
“ผมไม่คิดว่าระเบิดจะถูกสร้างทันเวลา และผมต้องการช่วยให้สงครามจบลงมากกว่า”
แต่ท้ายที่สุด แผนกนี้ก็สามารถสร้างอุปกรณ์นิวเคลียร์เครื่องแรกของโลกได้สำเร็จ และได้ทำการทดสอบจริงใน “การทดลองทรินิตี้ (Trinity Test)” ณ ทะเลทรายแห่งนิวเม็กซิโก โดยช่วงเวลาที่ระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของมนุษยชาติกำเนิดขึ้นนั้น “เจ. โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์ (J. Robert Oppenheimer)” นักฟิสิกส์ทฤษฎีผู้เป็นที่รู้จักในนาม “บิดาแห่งระเบิดปรมาณู” ได้กล่าวอ้างถึงวรรคหนึ่งในภควัทคีตา ความว่า
“บัดนี้ข้ากลายเป็นความตาย ผู้ทำลายล้างโลกทั้งปวง”
การทดสอบดังกล่าวนำไปสู่การสร้างระเบิดนิวเคลียร์ นั่นคือ “Fat Man” ที่ถูกทิ้งลงที่เมืองนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น
คิสเตียคอฟสกีคือหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ระดับหัวหน้าของโครงการ และเป็นไปได้สูงว่าเขาตระหนักถึงอำนาจทำลายล้างมหาศาลของอาวุธชนิดนี้ ทั้งผลในทันทีและผลกระทบจากรังสีในระยะยาวที่อาจส่งผลต่อชาวญี่ปุ่นรุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่แม้จะรู้อย่างนั้น เขาก็ยังมีส่วนในกระบวนการที่นำไปสู่ความทุกข์ทรมานของประชาชนจำนวนมหาศาล ทั้งที่มีความรู้ดีถึงผลลัพธ์ที่ตามมา
นี่คืออีกด้านหนึ่งของอัจฉริยะและวิทยาศาสตร์ เมื่อถูกชักนำเข้าสู่สงครามและการทำลายมากกว่าการช่วยเหลือมนุษยชาติ
คิสเตียคอฟสกี เขาไม่ใช่พลเมืองโดยกำเนิดของสหรัฐอเมริกาด้วยซ้ำ แต่กลับอุทิศตนอย่างสุดกำลังเพื่อชัยชนะของประเทศที่เขาเลือกจะรับใช้ ถึงขั้นมีส่วนร่วมในการทำลายล้างทั้งเมือง และทำให้คนหลายแสนคนต้องทนทุกข์ยาวนานหลายชั่วอายุคน ด้วยแรงจูงใจที่อาจมาจากความภักดีที่ผิดทิศผิดทาง
ความภักดีอย่างไม่ลืมหูลืมตาแบบเดียวกันนี้ ปรากฏซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาสตร์ จากห้องทรมานของศาสนจักรในยุคแห่งการล่าแม่มด หรือยุคสืบสวนศาสนาซึ่ง “ผู้ภักดี” ทำหน้าที่ทรมานทั้งผู้บริสุทธิ์และผู้ผิดอย่างโหดเหี้ยมเพื่อสนับสนุนอุดมการณ์ที่ตนเชื่อว่าเป็น “สิ่งดีงาม” ทั้งที่ผลลัพธ์ ก็คือความโหดร้ายที่แทบไม่ต่างอะไรจากอาชญากรรม
คำถามที่ตามมาจึงชวนให้เราตั้งข้อสงสัยถึงแก่นแท้ของมนุษย์
ถ้าผู้ที่ฉลาดที่สุด มีความสามารถที่สุด และได้รับการศึกษาอย่างดีที่สุด ยังสามารถเลือกที่จะลงมือทำสิ่งโหดร้ายได้อย่างมีเหตุผล และรู้ดีถึงผลลัพธ์ของการกระทำเหล่านั้น
ถ้าเช่นนั้นเราควรคาดหวังอะไรจากมนุษย์ธรรมดา?
มันเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบง่ายๆ
แต่สิ่งหนึ่งที่ประวัติศาสตร์สอนเราก็คือ ความรู้หรือสติปัญญา ไม่ได้มาคู่กับความเมตตาเสมอไป
บางครั้ง ความจงรักภักดีหรือความเชื่อมั่นในเป้าหมาย ก็สามารถถูกใช้เป็นข้ออ้างเพื่อสร้างความเจ็บปวดได้ในระดับที่เกินกว่าจะจินตนาการ
อย่างไรก็ตาม ในความมืดมิดของอดีต ก็ยังมีแสงเล็กๆ ของความหวัง ผู้ที่เลือกจะต่อต้านแม้จะถูกกดดัน ผู้ที่ปฏิเสธคำสั่งแม้จะต้องแลกด้วยชีวิต และผู้ที่ใช้ความรู้ความสามารถเพื่อเยียวยาแทนทำลาย
บางทีความหวังของมนุษย์ ก็อาจไม่ได้อยู่ในความสมบูรณ์แบบ แต่เป็นการเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องทั้งที่รู้ว่ามันยากเย็นเพียงใด
และการตั้งคำถามอย่างที่เรากำลังทำอยู่ คือจุดเริ่มต้นของสิ่งนั้น
References:
Kapook Creator เป็นเนื้อหาที่นำเสนอโดยผู้สร้างสรรค์ที่เข้าร่วมโครงการ หากพบเนื้อหาที่ท่านเห็นว่าไม่ถูกต้องตาม
กติกา สามารถคลิก
แจ้งปัญหาได้ที่นี่