ย้อน 5 วิธีพิสดารของมนุษย์ในอดีต เพื่อเอาชนะความตาย สู่ชีวิตที่เป็นอมตะ

ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา

เพจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์น่ารู้ต่างๆ ทั่วโลก เพราะประวัติศาสตร์จะไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป

5 วิธีในความพยายามเอาชนะ “ความตาย” ในสมัยโบราณ

วิธีพิสดารของมนุษย์ในอดีต

          ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน “ความตาย” คือสิ่งที่มนุษย์ต่างไม่อยากพบเจอ และมีความพยายามที่จะเอาชนะความตาย หรืออย่างน้อยก็ยืดอายุออกไป ให้ความตายมาถึงช้าที่สุด

          ในอดีตนั้น มีความพยายามสารพัดวิธีในการเอาชนะความตาย และวันนี้ผมจะยกตัวอย่างบางส่วนมาให้ดูครับ

1.การไม่นอนหลับ

          “มหากาพย์กิลกาเมช (Gilgamesh)“ เป็นมหากาพย์ในตำนานที่กล่าวถึงตัวเอกในตำนานเมโสโปเตเมียโบราณที่มีนามว่า ”กิลกาเมช (Gilgamesh)” และถือเป็นหนึ่งในเรื่องราวแรกเริ่มที่กล่าวถึงความพยายามของมนุษยชาติในการต่อต้านความตาย

          ตามตำนาน กิลกาเมช ผู้ซึ่งวีรกรรมของเขาถูกเล่าไว้ในบทกวีมหากาพย์ทั้งห้า ถูก “พระเจ้าอุตนาปิชทิม (Utnapishtim)” กษัตริย์ในตำนานเมโสโปเตเมีย รับสั่งให้กิลกาเมชห้ามนอนหลับเป็นเวลา 6 วัน 7 คืน เพื่อพิสูจน์ว่าเขามีคุณค่าพอที่จะเป็นอมตะ

          แต่ปรากฎว่ากิลกาเมชกลับหลับไปแทบจะในทันที ไม่สามารถเอาชนะความง่วงได้

          ดังนั้น บทเรียนจากเรื่องกิลกาเมชคือ มนุษย์คงไม่มีวันเอาชนะความตายได้ และเราจำเป็นต้องยอมรับความจริงข้อนี้ พร้อมทั้งหันมาคิดถึงการใช้ชีวิตให้ดีและมีคุณค่า

2.ยาวิเศษและการทำมัมมี่

          ผู้ปกครองอียิปต์โบราณนั้นหมกมุ่นกับชีวิตอมตะอย่างมาก โดยมีความเชื่อว่าชีวิตหลังความตายนั้นมีจริง และร่างกายจำเป็นต้องได้รับการเก็บรักษาไว้ เพื่อให้เป็นที่สถิตของวิญญาณ

          นักประวัติศาสตร์หลายคนได้ประเมินว่า 40% ของจีดีพีของอียิปต์โบราณ ได้ถูกใช้ไปกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตหลังความตาย การทำมัมมี่ และการสร้างวิหารและอารามต่างๆ

          ชาวอียิปต์ได้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อยืดอายุของตนเองด้วยการใช้ยาและน้ำยาวิเศษต่างๆ รวมถึงการทำมัมมี่ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นแผนสำรอง โดยก่อนที่จะถึงขั้นตอนที่จะทำมัมมี่ ผู้คนจะได้รับการรักษาด้วยยาหลากหลายชนิดและน้ำยาวิเศษเพื่อพยายามยืดชีวิตให้นานที่สุด

          จากบันทึกทางการแพทย์และหลักฐานทางโบราณคดี พบว่ามีการบันทึกวิธีการรักษาการขาหัก รวมทั้งแนะนำวิธีที่จะทำให้เป็นอมตะอีกด้วย

3.ยาอายุวัฒนะ

          “จิ๋นซีฮ่องเต้ (Qin Shi Huang)” ทรงเป็นจักรพรรดิองค์แรกของจีน ผู้รวบรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นเมื่อ 221 ปีก่อนคริสตกาล และพระองค์ก็ทรงหมกมุ่นเรื่องการมีชีวิตอมตะเป็นอย่างมาก

          พระองค์ทรงส่งคนออกเดินทางไปทั่วอาณาจักรอันกว้างใหญ่ของพระองค์เพื่อค้นหานักเล่นแร่แปรธาตุ พ่อมด หรือผู้วิเศษ ใครก็ตามที่สามารถถวายชีวิตอมตะแก่พระองค์ได้

          จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงหมกมุ่นกับการยืดอายุของพระองค์และชีวิตอมตะอย่างมาก ถึงขั้นที่ว่าทรงมีรับสั่งห้ามไม่ให้มีใครเอ่ยถึงคำว่า ”ความตาย“ ต่อหน้าพระพักตร์ และทุกที่ที่พระองค์เสด็จ จะต้องมีกวีคอยติดตาม ร้องเพลงเกี่ยวกับความเป็นอมตะถวายพระองค์อยู่ตลอดเวลา

          แต่สุดท้าย จิ๋นซีฮ่องเต้ก็ทรงพระประชวรและสวรรคตด้วยพระชนมายุเพียง 49 พรรษา โดยเชื่อว่าอันที่จริงนั้น การสวรรคตของพระองค์ก็มาจากความหมกมุ่นในชีวิตอมตะนี้แหละ โดยเชื่อว่าพระองค์ได้เสวยปรอทในปริมาณมาก ด้วยเชื่อว่าปรอทจะทำให้พระองค์เป็นอมตะ แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม กลับยิ่งทำลายพระพลานามัยของพระองค์

          จากการสำรวจทางโบราณคดี พบว่าสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้นั้นมีระดับปรอทสูงกว่าปกติกว่า 100 เท่าเลยทีเดียว

4.การดื่มทองคำ

          การหลอม “ทองคำ” แล้วนำมาดื่มนั้น ถือเป็นเทรนด์ในการต้านความชราของชาวฝรั่งเศสในสมัยศตวรรษที่ 16 โดยเริ่มจากหญิงสูงศักดิ์ในราชสำนัก ส่วนที่จีนและอียิปต์ก็มีความนิยมในการดื่มทองคำเช่นกัน โดยผู้คนมองว่าทองคำนั้นเป็นโลหะที่ไม่เน่าเสีย และบริสุทธิ์ที่สุดในบรรดาโลหะทั้งปวง

          “เว่ยป๋อหยาง (Wei Boyang)” นักเล่นแร่แปรธาตุชาวจีนในสมัยศตวรรษที่ 2 ได้เสนอแนวคิดว่า การบริโภคสารที่เป็นอมตะในปริมาณเล็กน้อย จะช่วยยืดอายุของคนให้อยู่ได้นานขึ้น จึงมีการดื่มทองคำกันในยุคสมัยนั้น

5.การถ่ายเลือด

          ในปีค.ศ.1492 (พ.ศ.2035) หลังจาก “สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 8 (Pope Innocent VIII)” เส้นเลือดในสมองแตก ได้มีการตัดสินใจทำการถ่ายเลือดจากชายหนุ่มสุขภาพดี 3 คนเข้าสู่เส้นเลือดของพระองค์ ซึ่งเชื่อกันว่านี่เป็นการถ่ายเลือดครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกไว้

          แต่หลังจากนั้น สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 8 ก็สิ้นพระชนม์ รวมทั้งชายหนุ่มทั้งสามก็เสียชีวิตเช่นกัน

          ความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการถ่ายเลือด ได้เกิดขึ้นในปีค.ศ.1628 (พ.ศ.2171) เมื่อแพทย์ชาวอังกฤษนามว่า “วิลเลียม ฮาร์วีย์ (William Harvey)” ค้นพบระบบการไหลเวียนของเลือด และต่อมาในปีค.ศ.1665 (พ.ศ.2208) “ริชาร์ด โลเวอร์ (Richard Lower)” แพทย์ชาวอังกฤษ สามารถช่วยให้สุนัขมีชีวิตรอดโดยการถ่ายเลือดจากสุนัขตัวอื่น ก่อนที่อีกสองปีถัดมา ก็มีรายงานเรื่องการถ่ายเลือดจากแกะไปยังมนุษย์

          เทคโนโลยีการถ่ายเลือดมีความก้าวหน้าอย่างมากในศตวรรษที่ 20 โดย “เจฟฟรีย์ เคย์นส์ (Geoffrey Keynes)” ศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ ได้พัฒนาชุดถ่ายเลือดแบบพกพาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งช่วยให้แพทย์สามารถรักษาทหารที่บาดเจ็บได้ทันทีในสนามรบ

          ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 “ชาร์ลส์ ดรูว์ (Charles Drew)” แพทย์ชาวอเมริกัน ได้เป็นผู้นำในการจัดตั้งระบบเก็บเลือดขนาดใหญ่และหน่วยรับบริจาคเคลื่อนที่ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ”Bloodmobiles“

          นักวิทยาศาสตร์ได้เริ่มทดลองการถ่ายพลาสมาเลือดในมนุษย์แล้ว แต่ก็ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปได้ว่าแนวทางนี้จะช่วยให้มนุษย์มีอายุยืนยาวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจริงหรือไม่?

          หรือนี่อาจจะเป็นเพียงอีกหนึ่งทางตันในเส้นทางอันยาวไกลและไม่สิ้นสุดของการแสวงหาความเป็นอมตะ

          และนี่ก็คือตัวอย่างความพยายามของมนุษย์ในการเอาชนะความตาย

Kapook Creator เป็นเนื้อหาที่นำเสนอโดยผู้สร้างสรรค์ที่เข้าร่วมโครงการ หากพบเนื้อหาที่ท่านเห็นว่าไม่ถูกต้องตามกติกา สามารถคลิกแจ้งปัญหาได้ที่นี่
เรื่องอื่นๆของ ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา
Advertisements
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ย้อน 5 วิธีพิสดารของมนุษย์ในอดีต เพื่อเอาชนะความตาย สู่ชีวิตที่เป็นอมตะ อัปเดตล่าสุด 29 สิงหาคม 2568 เวลา 15:50:45 1,399 อ่าน
TOP