ความผิดพลาดของเชอร์ชิล...บทเรียนจากมาตรฐานทองคำที่เคยนำพาอังกฤษสู่หายนะทางเศรษฐกิจ

ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา

เพจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์น่ารู้ต่างๆ ทั่วโลก เพราะประวัติศาสตร์จะไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป

          ความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของรัฐบุรุษ “มาตรฐานทองคำ (Gold Standard)”
มาตรฐานทองคำ

          “วินสตัน เชอร์ชิล (Winston Churchill)” อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร ได้เคยทำผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในการนำสหราชอาณาจักรกลับเข้าสู่ “มาตรฐานทองคำ (Gold Standard)” ความผิดพลาดนี้ส่งผลให้จักรวรรดิอังกฤษอ่อนแอลง อุตสาหกรรมของอังกฤษพังทลาย และเร่งให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) และทำให้สงครามโลกครั้งที่สองเกิดเร็วขึ้น

          เชอร์ชิลเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็ทำผิดพลาดมหันต์หลายครั้ง และนี่ก็คือตัวอย่างความผิดพลาดครั้งมโหฬารของเขา

          สำหรับมาตรฐานทองคำนั้น มาตรฐานทองคำเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสียหายและความปั่นป่วน เป็นภาพลวงตาแห่งความมั่นคงและความถาวร

          ภายใต้ระบบมาตรฐานทองคำ รัฐบาลหรือธนาคารกลางจะตรึงค่าเงินกระดาษของประเทศไว้กับทองคำ ซึ่งหมายความว่า ใครก็ตามก็สามารถนำเงินดอลลาร์หรือเงินปอนด์ไปแลกเป็นทองคำกับธนาคารกลางได้

          แนวคิดเบื้องหลังมาตรฐานทองคำคือ ทองคำจะรักษามูลค่าไว้ได้เสมอ ดังนั้น เงินดอลลาร์ที่ตรึงกับทองคำจะมีค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์ตลอดไป และอีกหนึ่งจุดดึงดูดของระบบนี้ก็คือ ความสามารถในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อด้วยการทำให้มูลค่าของเงินสูงอยู่ตลอดเวลา

          แต่ในความเป็นจริง มาตรฐานทองคำเป็นเหมือนกลลวงอย่างหนึ่ง เพราะคนส่วนใหญ่ที่ใช้เงินกระดาษแทบจะไม่เคยนำไปแลกเป็นทองคำ และรัฐบาลส่วนใหญ่ก็มักทำให้การแลกเงินเป็นทองคำนั้นยุ่งยาก เช่น ในสหราชอาณาจักร ผู้ที่ต้องการแลกเงินเป็นทองคำต้องไปที่ “ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (Bank of England)” เท่านั้น

         ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษได้คิดค้นระบบมาตรฐานทองคำขึ้นในปีค.ศ.1821 (พ.ศ.2364) เพื่อทำให้ประชาชนยอมรับการใช้ธนบัตร โดยในเวลานั้น ธนบัตรยังถือว่าเป็นของใหม่และสามารถปลอมแปลงได้ง่าย
      
          หลายคนในยุคนั้นยังไม่ยอมรับธนบัตร แต่เมื่อธนาคารแห่งอังกฤษอ้างว่าธนบัตรมีทองคำรองรับอยู่ ประชาชนทั่วไปจึงเริ่มยอมรับธนบัตรเงินปอนด์                   

          ส่วนในสหรัฐอเมริกา ระบบมาตรฐานทองคำเริ่มต้นในปีค.ศ.1834 (พ.ศ.2377) หลังจากประธานาธิบดี “แอนดรูว์ แจ็กสัน (Andrew Jackson)” ได้ยุบ “ธนาคารแห่งอเมริกา (Bank of the United States)”

          จากนั้น สหรัฐอเมริกาจึงรับรองมาตรฐานทองคำอย่างเป็นทางการในปีค.ศ.1900 (พ.ศ.2443) ด้วย “พระราชบัญญัติมาตรฐานทองคำ (Gold Standard Act)” ซึ่งกำหนดราคาทองคำไว้ที่ 20.67 ดอลลาร์ (ประมาณ 675 บาท) ต่อออนซ์ โดย “ธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve)” เป็นผู้กำหนดราคาทองคำอย่างเป็นทางการและดูแลระบบมาตรฐานทองคำของอเมริกาตั้งแต่ปีค.ศ.1913 (พ.ศ.2456) จนถึงปีค.ศ.1971 (พ.ศ.2514)

          แต่อันตรายของระบบมาตรฐานทองคำก็คือ มูลค่าของเงินขึ้นอยู่กับปริมาณทองคำที่มีอยู่ ตัวอย่างเช่น ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 สหรัฐอเมริกาประสบกับภาวะเงินเฟ้อเนื่องจากเหตุการณ์ตื่นทองที่แคลิฟอร์เนีย ทำให้ทองคำไหลทะลักเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก

          ดังนั้นใครก็ตามที่ควบคุมปริมาณทองคำได้ ก็สามารถควบคุมมูลค่าเงินได้เช่นกัน หากประเทศใดใช้มาตรฐานทองคำ ประเทศอื่นที่ถือทองคำมากกว่ารัฐบาลของประเทศนั้น ก็อาจจะควบคุมค่าเงินของอีกประเทศหนึ่งได้

          อังกฤษและชาติมหาอำนาจส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในระบบมาตรฐานทองคำตั้งแต่ปีค.ศ.1821 (พ.ศ.2364) จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และเมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้น ประเทศส่วนใหญ่รวมถึงอังกฤษ ต้องทิ้งระบบทองคำเนื่องจากภาวะตื่นตระหนกและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสงคราม

          อธิบายเพิ่มเติมให้เห็นภาพ ประชาชนทั่วไปในขณะนั้นต่างเกรงว่าเมื่อประเทศแพ้สงคราม เงินที่ถืออยู่จะไร้ค่าทันที จึงพากันนำเงินสดไปแลกเป็นทองคำ ฝ่ายธนาคารกลางและรัฐบาลเองก็หวั่นเกรงว่าจะสูญเสียทองคำสำรอง จึงตัดสินใจเลิกใช้ระบบมาตรฐานทองคำ

          ภายในปีค.ศ.1918 (พ.ศ.2461) ระบบมาตรฐานทองคำก็ถือว่าสิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ธนาคารและนักการเงินจำนวนมากยังคงต้องการฟื้นฟูระบบนี้อีกครั้ง เพราะเชื่อว่ามันสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

          แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ความมั่นคงที่เห็นในยุคก่อนปีค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) ไม่ได้เกิดจากทองคำ แต่เกิดจากระเบียบทางการเมืองโลกที่มั่นคงในยุคนั้น

          ภายในปีค.ศ.1925 (พ.ศ.2468) สหราชอาณาจักรกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง แม้ว่าจะถือว่าเป็นผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็ตาม

          ศูนย์กลางทางการเงินของโลกได้ย้ายจากลอนดอนไปยัง “วอลล์สตรีท (Wall Street)” ในสหรัฐอเมริกา และธนาคารอังกฤษก็ไม่สามารถแข่งขันกับธนาคารอเมริกันได้อีกต่อไป

          นอกจากนั้น อุตสาหกรรมของอังกฤษยังประสบปัญหาในการแข่งขันกับผู้ผลิตจากสหรัฐอเมริกาและเยอรมนีที่กำลังฟื้นตัวในตลาดโลก ขณะที่ภายในสหราชอาณาจักรเองก็เผชิญกับปัญหาการว่างงานและความไม่สงบทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น

          ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ นายกรัฐมนตรี “สแตนลีย์ บอลด์วิน (Stanley Baldwin)” ได้เชิญ “วินสตัน เชอร์ชิล (Winston Churchill)” เข้าร่วมรัฐบาลในตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง

          บอลด์วินได้แต่งตั้งเชอร์ชิล ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจหรือความรู้ทางการเงินให้มารับบทบาทเสมือน “ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน” ของจักรวรรดิอังกฤษ

          การตัดสินใจของบอลด์วินครั้งนี้มาจากแรงจูงใจทางการเมืองล้วนๆ โดยขณะนั้น พรรคเสรีนิยมของอังกฤษกำลังล่มสลาย และเชอร์ชิล ซึ่งเป็นนักการเมืองเสรีนิยมที่มีชื่อเสียง ก็เพิ่งหันกลับมาร่วมพรรคอนุรักษนิยมของบอลด์วิน บอลด์วินจึงหวังว่าจะดึงคะแนนเสียงจากกลุ่มเสรีนิยมโดยการให้เชอร์ชิลเข้าร่วมคณะรัฐมนตรี

          ด้วยความที่เชอร์ชิลไม่มีความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์หรือการเงินเลย เขาจึงต้องพึ่งพาคำแนะนำจากกลุ่มธนาคารและเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลัง และกลุ่มธนาคารเหล่านั้นก็ต้องการให้สหราชอาณาจักรกลับเข้าสู่ระบบมาตรฐานทองคำอีกครั้ง

          ธนาคารเหล่านี้มีความเชื่ออย่างผิดๆ ว่าการกลับมาใช้มาตรฐานทองคำจะช่วยให้สหราชอาณาจักรกลับมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลกได้อีกครั้ง

          เมื่อได้ยินเช่นนี้ เชอร์ชิลจึงทำตามคำแนะนำของธนาคาร โดยในเดือนกรกฎาคม ปีค.ศ.1925 (พ.ศ.2468) เชอร์ชิลได้นำอังกฤษกลับเข้าสู่ระบบมาตรฐานทองคำอีกครั้ง

          ปัญหาใหญ่ของการตัดสินใจนี้คือ ในเวลานั้น สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ถือครองทองคำส่วนใหญ่ของโลก ซึ่งหมายความว่า ธนาคารกลางสหรัฐและวอลล์สตรีทต่างก็มีอำนาจควบคุมเศรษฐกิจของอังกฤษอย่างแฝงเร้น

          “จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ (John Maynard Keynes)” นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเชอร์ชิลเลย โดยเคนส์ได้เขียนหนังสือชื่อ “The Economic Consequences of Mr. Churchill” โดยเคนส์ได้เตือนว่า

          “เราต้องเตือนคุณว่า นโยบายนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย มันจะนำไปสู่การว่างงานและความขัดแย้งทางแรงงานอย่างแน่นอน”

          สิ่งที่เคนส์กังวลเป็นพิเศษคือ การกลับไปใช้มาตรฐานทองคำจะทำให้ค่าเงินปอนด์แข็งเกินไป ซึ่งจะทำให้สินค้าส่งออกของอังกฤษไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ และเป็นอันตรายต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศอย่างรุนแรง

          และผลก็เป็นไปตามที่เคนส์คาด อัตราการว่างงานในอังกฤษพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นายจ้างจำนวนมากเริ่มลดค่าจ้างแรงงาน นำไปสู่การนัดหยุดงานครั้งใหญ่ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1926 (พ.ศ.2469)

          การประท้วงนี้มีคนเข้าร่วมกว่า 1.5 ล้านคน ทำให้ประเทศแทบจะเป็นอัมพาต รัฐบาลต้องระดมกองทัพเข้าควบคุมสถานการณ์ และถึงแม้ว่ารัฐบาลจะสามารถยุติการประท้วงลงได้ แต่อังกฤษก็ยังต้องเผชิญกับสภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจตลอดช่วงปลายทศวรรษ 20 (พ.ศ.2463-2472) ก่อนจะตกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ในปีค.ศ.1929 (พ.ศ.2472)

          อย่างไรก็ตาม ขณะนั้นเชอร์ชิลไม่ได้อยู่ในตำแหน่งแล้ว เนื่องจากรัฐบาลของบอลด์วินเองก็ล่มสลายในปีเดียวกัน

          ในปีค.ศ.1931 (พ.ศ.2474) รัฐบาลอังกฤษตัดสินใจยกเลิกระบบมาตรฐานทองคำ ส่งผลให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน อัตราการว่างงานในอังกฤษซึ่งเคยพุ่งสูงถึงประมาณ 15% ในปีค.ศ.1932 (พ.ศ.2475) ลดลงเหลือประมาณ 8% ภายในปีค.ศ.1937 (พ.ศ.2480) ซึ่งใกล้เคียงกับระดับก่อนเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

          ข้อสรุปก็ชัดเจน หากอังกฤษไม่กลับไปใช้มาตรฐานทองคำตั้งแต่แรก ประเทศอาจหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจชะงักงันและความไม่สงบทางการเมืองได้ และหนึ่งในผลกระทบจากความอ่อนแอทางเศรษฐกิจของอังกฤษก็คือ การมีส่วนช่วยให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลก

          อันที่จริง วิกฤตตลาดหุ้นปีค.ศ.1929 (พ.ศ.2472) ที่ผู้คนมักคิดว่าเริ่มต้นที่วอลล์สตรีท จริงๆ แล้วเริ่มขึ้นในวันที่ 20 กันยายน ค.ศ.1929 (พ.ศ.2472) ที่นครลอนดอน เมื่อนักอุตสาหกรรมชื่อดังชาวอังกฤษอย่าง “แคลเรนซ์ ชาร์ลส์ แฮทรี (Clarence Charles Hatry)” ยอมรับว่าเขาไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อกิจการบริษัทเหล็กหลายแห่ง ทำให้เกิดความตื่นตระหนกในตลาด และนำไปสู่การล่มสลายของความเชื่อมั่นทางการเงินทั่วโลก

          เมื่อสื่ออังกฤษเปิดโปงการฉ้อโกงของแฮทรี ปรากฏว่าหุ้นในตลาดลอนดอนก็ร่วงอย่างหนัก และผลกระทบก็ลุกลามข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนั้นตลาดหุ้นก็เริ่มอ่อนตัวอยู่แล้ว

          ระหว่างวันที่ 3 กันยายน-23 ตุลาคม ค.ศ.1929 (พ.ศ.2472) ตลาดหุ้นนิวยอร์กก็สูญเสียมูลค่าไปถึง 21% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักลงทุนชาวอังกฤษเร่งถอนเงินออกจากตลาดหุ้นสหรัฐ เพื่อนำไปชดเชยความสูญเสียจากกรณีแฮทรี

          ในวันถัดมา วันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ.1929 (พ.ศ.2472) หรือ “วันพฤหัสสีดำ (Black Thursday)” ดัชนีดาวโจนส์ก็ร่วงลงทันที 11%

          นี่คือจุดเริ่มต้นของ “วิกฤตวอลล์สตรีท (Great Wall Street Crash)” และการล่มสลายทางเศรษฐกิจครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

          ความตกต่ำทางเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ในขณะเดียวกัน สถานการณ์ในสหราชอาณาจักรในช่วงทศวรรษ 30 (พ.ศ.2473-2482) ก็ดูจะดีกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับบางประเทศ เพราะเศรษฐกิจของอังกฤษตกต่ำมานานแล้วตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตโลก จึงไม่ต้องเผชิญกับการทรุดตัวฉับพลันเท่ากับประเทศอื่น เช่น เยอรมนีหรือสหรัฐอเมริกา

          หนึ่งในผลลัพธ์จากนโยบายของเชอร์ชิลที่เคนส์ไม่ทันคาดคิด ก็คือความล่มสลายของอุตสาหกรรมอังกฤษ

          ในช่วงปลายทศวรรษ 30 (พ.ศ.2473-2482) อุตสาหกรรมของอังกฤษ ซึ่งเคยเป็นกำลังหลักในการผลิตอาวุธให้กับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง กลับไม่สามารถผลิตอาวุธพื้นฐาน เช่น ปืนยาวหรือกระสุนให้กับกองทัพของตนเองได้

          ภายในปีค.ศ.1938 (พ.ศ.2481) ทหารอังกฤษต้องหันไปซื้อเครื่องบินจากผู้ผลิตในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากโรงงานในอังกฤษ ไม่สามารถผลิตเครื่องบินได้เพียงพอ และภายในปีค.ศ.1940 (พ.ศ.2483) ก็มีโฆษณาปรากฏในหนังสือพิมพ์อเมริกัน ขอให้ชาวอเมริกันส่งปืนไรเฟิลไปให้อังกฤษ เพื่อใช้ติดอาวุธให้กับกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ แสดงให้เห็นว่าอังกฤษไม่สามารถผลิตปืนได้มากพอที่จะติดอาวุธให้กับกำลังสำรองของตนเอง

          ตลอดช่วงทศวรรษ 30 (พ.ศ.2473-2482) เชอร์ชิลถูกกันออกจากกระแสการเมืองหลัก และห่างเหินจากพรรคอนุรักษนิยม เนื่องจากเขาคัดค้านการให้อินเดียได้รับเอกราชอย่างต่อเนื่อง เมื่อเชอร์ชิลกลับมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปีค.ศ.1940 (พ.ศ.2483) เชอร์ชิลก็ต้องวิงวอนสหรัฐอเมริกาให้ช่วยส่งอาวุธพื้นฐานมาให้

          หนึ่งในเหตุผลที่อังกฤษขาดความพร้อมทางทหารอย่างรุนแรงในปีค.ศ.1940 (พ.ศ.2483) ก็คือ ความเสื่อมถอยของอุตสาหกรรมในประเทศ และสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้อุตสาหกรรมอังกฤษเสื่อมถอย ก็คือการกลับไปใช้มาตรฐานทองคำนั่นเอง

          นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันได้พยายามฟื้นฟูระบบมาตรฐานทองคำผ่าน “การประชุมเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods Conference)” ในปีค.ศ.1944 (พ.ศ.2487) แต่เคนส์ ซึ่งเป็นผู้แทนจากอังกฤษในการประชุมเบรตตันวูดส์ ได้คัดค้านการฟื้นฟูมาตรฐานทองคำ

          เคนส์ต้องการให้มีระบบเครดิตระหว่างประเทศที่ใช้สกุลเงินโลกซึ่งเขาเรียกว่า “แบงเคอร์ (Bancor)” แทน แต่ฝ่ายนักเศรษฐศาสตร์อเมริกันต้องการรื้อฟื้นมาตรฐานทองคำ เพราะระบบนี้จะทำให้สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่ถือครองทองคำมากที่สุด กลายเป็นผู้ควบคุมเศรษฐกิจโลก

          ระบบเบรตตันวูดส์ดำเนินอยู่ต่อมาจนถึงปีค.ศ.1971 (พ.ศ.2514) เมื่อประธานาธิบดี “ริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon)” นำสหรัฐอเมริกาออกจากระบบมาตรฐานทองคำ

          15 สิงหาคม ค.ศ.1971 (พ.ศ.2514) นิกสันได้ประกาศว่ารัฐบาลอเมริกันจะไม่แลกเปลี่ยนดอลลาร์เป็นทองคำอีกไม่ว่าที่ราคาใดก็ตาม

          ที่นิกสันตัดสินใจเช่นนี้ ก็เพราะทองคำกำลังไหลออกจากสหรัฐอเมริกาไปยังยุโรป และด้วยความกังวลว่าสหรัฐอเมริกาจะสูญเสียทองคำจนหมด จึงมีการยุติการแลกเปลี่ยนดอลลาร์เป็นทองคำ และที่น่าประหลาดใจก็คือ หนึ่งในสาเหตุที่นิกสันยุติมาตรฐานทองคำ ก็คือรัฐบาลอังกฤษได้ขอชำระเงินเป็นทองคำ ซึ่งอาจทำให้ทองคำในธนาคารกลางสหรัฐหมดเกลี้ยง

          การตัดสินใจของนิกสัน ได้ทำลายระบบมาตรฐานทองคำ และนำไปสู่ระบบการเงินสมัยใหม่ที่เราใช้กันในปัจจุบัน ซึ่งเป็นระบบ “เงินตราแบบไม่มีหลักประกัน (Fiat Currencies)” โดยมูลค่าของสกุลเงินถูกกำหนดโดยตลาดการเงินเท่านั้น และนักเศรษฐศาสตร์บางคนก็ได้กล่าวว่า การกระทำของนิกสันได้จุดชนวน “ยุคแห่งความวุ่นวายทางเศรษฐกิจ (Age of Economic Chaos)” ขึ้นมา

          นี่ก็เป็นเรื่องราวครั้งหนึ่งเมื่อรัฐบุรุษอังกฤษผู้ยิ่งใหญ่อย่างเชอร์ชิล ก็เคยทำผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่เช่นกัน

References : medium.com, bullionvault.com, fee.org

Kapook Creator เป็นเนื้อหาที่นำเสนอโดยผู้สร้างสรรค์ที่เข้าร่วมโครงการ หากพบเนื้อหาที่ท่านเห็นว่าไม่ถูกต้องตามกติกา สามารถคลิกแจ้งปัญหาได้ที่นี่
เรื่องอื่นๆของ ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา
Advertisements
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ความผิดพลาดของเชอร์ชิล...บทเรียนจากมาตรฐานทองคำที่เคยนำพาอังกฤษสู่หายนะทางเศรษฐกิจ อัปเดตล่าสุด 22 สิงหาคม 2568 เวลา 17:21:17
TOP