"อย่าเอาแต่อ่อนน้อมถ่อมตน แต่หัดมองเสน่ห์ของตัวเอง"

สมัยที่ผมเริ่มต้นเรียนทักษะโค้ชชิ่งใหม่ๆ ตอนแรกผมก็ตั้งคำถามกับศาสตร์ด้านนี้ว่าเป็นการสะกดจิตหรือหลอกลวงผู้คน หรือเป็นการพูดคำสวยๆ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจหาเงินเยอะๆรึเปล่า? เพราะกระแสข่าวในไทยเกี่ยวกับอาชีพนี้ ค่อนข้างจะมีข่าวแง่ลบพอสมควร แต่ในต่างประเทศอาชีพโค้ช ได้รับการยอมรับในองค์กรธุรกิจเป็นจำนวนมาก แม้กระทั่งสตีฟ จ๊อบส์ หรือผู้บริหาร Google ก็เคยได้รับการโค้ชด้วยเช่นกัน
เมื่อได้ลองไปเรียนรู้และศึกษาอย่างจริงจังกับ Thailand coaching academy ที่มีหลักสูตรน่าเชื่อถือ และมีการรับรองตามมาตรฐานของต่างประเทศ ผมก็พบว่าทักษะ Coach ไม่ใช่การพูดคำสวยหรู เพื่อกระตุ้นให้คนอยากรวยหรือเก่ง แต่เป็นการฝึกฝนการตระหนักรู้ในตัวเอง และฝึกรับฟังเพื่อเข้าใจปัญหาของคนตรงหน้า
ในระหว่างสนทนากับเพื่อนร่วมชั้นเรียน พอผมเล่าเรื่องตัวเองจบ เพื่อนในกลุ่มก็กล่าวชื่นชม ผมรีบตอบปฏิเสธทันทีว่า "ผมไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกครับ" โค้ชที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันได้ยิน ก็ตั้งคำถามว่าทำไมเวลาได้รับคำชม ผมจะต้องรีบปฏิเสธทันที ตอนแรกที่ได้ยินคำถาม ผมก็รู้สึกงงและสงสัย เพราะผมมองว่าการตอบรับแบบนั้นเป็นความถ่อมตน คิดว่าตัวเองก็ไม่ได้เก่งจริงและยังต้องฝึกฝนอีกมาก
โค้ชถามต่อว่า "ถ้าให้ชื่นชมตัวเองจะรู้สึกอย่างไร" ผมรีบบอกทันทีว่า ดูเป็นเรื่องน่าอายและรู้สึกว่าเราหลงตัวเองอยู่ ขณะที่เพื่อนในกลุ่ม มองว่าประสบการณ์ของผม ผ่านการฝึกฝนและความพยายามด้วยตัวเอง ไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำ ดังนั้น การรับคำชื่นชม คงไม่ใช่เรื่องที่ผิดบาปมากนัก พอมานั่งนึกย้อนดู ระยะหลังๆ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ คนรุ่นใหม่ประสบปัญหาแบบนี้ค่อนข้างมาก คือการมองว่าตัวเองไม่ใช่คนเก่งหรือไม่เคยชื่นชมความสำเร็จที่ตัวเองสร้างขึ้น
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? และเราจะทิ้งกรอบความคิดแบบนี้ได้อย่างไร
ชิฮาระ ทากาชิ
ผู้เขียนหนังสือ "ฝึกตัวเองให้เป็นคนที่ทิ้งเป็น" เขาก็คิดเหมือนกันว่า คนทุกวันนี้พยายามพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งที่ทำเป็นแค่ "การหนี" รูปแบบหนึ่ง เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่า ถ้าไม่พัฒนาตัวเองก็จะไม่ได้รับการยอมรับ ถ้าไม่เก่งกว่านี้ก็จะไม่เป็นที่รัก
ผู้เขียนหนังสือ "ฝึกตัวเองให้เป็นคนที่ทิ้งเป็น" เขาก็คิดเหมือนกันว่า คนทุกวันนี้พยายามพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งที่ทำเป็นแค่ "การหนี" รูปแบบหนึ่ง เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่า ถ้าไม่พัฒนาตัวเองก็จะไม่ได้รับการยอมรับ ถ้าไม่เก่งกว่านี้ก็จะไม่เป็นที่รัก
วิธีที่ดีที่สุดที่จะไม่พาตัวเองไปหลงทาง ก็คือการทิ้งความคิดแบบนี้ แล้วจงยอมรับความเป็นตัวของตัวเอง
1. ยอมรับตัวเอง
ทากาชิเล่าว่า สมัยที่เขาเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ๆ เขาเป็นคนที่แคร์สายตาคนอื่นมากๆ เขามีปมด้อยว่าไม่ได้จบมาสูง เวลาไปติดต่อพูดคุยธุรกิจ เขาพยายามจะปิดบังความลับเรื่องนี้ เขาพยายามแก้ปัญหานี้ด้วยการพัฒนาตนเอง อ่านหนังสือและเข้าร่วมงานสัมมนาเกี่ยวกับการค้นหาตัวเอง แต่สุดท้ายทำให้เขาหลงทางหนักกว่าเดิม เขามีคำถามอยู่ในหัวคือ "ทำไมตัวเองถึงไม่ได้เรื่อง" เขาตำหนิตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองยังไม่เก่งไม่ดี ยังไม่สมบูรณ์แบบ
เขาอยากพัฒนาตัวเองเพราะอยากเป็นแบบคนอื่นที่ประสบความสำเร็จ เขาจึงโทษและโบยตีความรู้สึกตัวเองตลอดเวลา โชคดีว่าเขารู้ตัวว่ามาผิดทางจึงเปลี่ยนแผนใหม่ว่าจะลองศึกษาชีวิตคนเก่งๆที่มีความสุขแทน
เมื่อหยุด "ค้นหาตัวเอง" เขาเปลี่ยนโฟกัสใหม่ว่า อยาก "รู้จักตัวเอง" มากขึ้น เขาเลิกตัดสินข้อดีข้อด้อยแล้วหันกลับมามองว่า ตัวฉันก็สุดยอดเหมือนกัน ไม่ว่าจะดีหรือร้ายทั้งหมดก็คือตัวฉัน แทนที่จะตั้งคำถามว่า "ตัวตนของฉันเป็นใคร" "มีตรงไหนที่ต้องปรับปรุง" เขาเปลี่ยนคำถามว่า "ฉันมีความสุขกับอะไร" "เป้าหมายของฉันคืออะไร" เมื่อยอมรับและให้อภัยตัวเอง เราก็จะตระหนักถึงคุณค่าที่มีอยู่ แล้วเลิกพยายามเป็นคนอื่น
2. หัวเราะให้กับปมด้อย
สมัยก่อนทากาชิ ตระหนักดีว่าเขาจบเพียงมัธยมต้น เขาจึงมักมองตัวเองด้วยความคิดแง่ลบ เช่น ฉันผิด ฉันมันห่วย ฉันมันไม่ได้เรื่อง ต่อมาพอเขาได้เปิดเผยปมด้อยว่าเขาเป็นคนที่เรียนไม่สูง คนทั่วไปกลับมองว่า เขามีเสน่ห์เมื่อเห็นว่าคนที่เรียนไม่สูงสามารถประสบความสำเร็จและมีความคิด ความฉลาดและไหวพริบในการแก้ไขปัญหา เขาจึงคิดได้ว่า "ปมด้อยก็คือจุดเด่น" อย่างหนึ่งได้เช่นกัน เขาค้นพบว่า การคอยกังวลและพยายามปกปิดปมด้อยเป็นเรื่องที่ต้องใช้พลังงานสูงมาก นอกจากนี้ คนที่ประสบความสำเร็จเป็นคนที่เล่าปมด้อยของตัวเองให้เป็นเรื่องตลกได้แบบสบายๆ
ดังนั้นถ้าคุณมีปมด้อยลองค้นหาเสน่ห์บางอย่างในปมด้อยนั้น แต่ถ้าในตอนนี้คุณยังหามันไม่เจอก็ให้ลองหัวเราะกับมันไปก่อน
3. ยอมรับในเสน่ห์ของตัวเอง
การพูดว่า "ฉันกระจอก" "ฉันห่วย" มันเป็นวิธีที่ง่ายมากๆ คนเรามักชอบพูดจาดูถูกตัวเอง เพราะการคิดแบบนั้นเป็นวิธีการที่จะทำให้ไม่ถูกคนอื่นหมั่นไส้ ไม่ถูกใครขัดแข้งขัดขา และตัวเองก็ไม่ต้องพยายามทำอะไรมากมาย คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยชื่นชมตัวเอง เพราะค่านิยมในสังคมมองว่าคนที่ชมตัวเองเป็นพวกหลงตัวเองเวลาพูดว่า "ฉันยอดเยี่ยมมาก" จะมีความคิดด้านหนึ่งบอกว่า "ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก" หรือ "ไม่ใช่ซะหน่อย"
คนเราในยุคนี้จึงมีแนวโน้มที่หลีกหนีการยอมรับว่าตัวเองเก่งมีคุณค่ารวมไปถึงค่านิยมในสังคมที่ชอบให้คนอ่อนน้อมถ่อมตน เวลามีใครมาชมว่า "คุณเก่งมาก" "คุณเยี่ยมมาก" เราชอบเลือกพูดว่า "ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ"
ทากาชิแนะนำว่า ให้เลิกอ่อนน้อมถ่อมตนแบบนั้นได้แล้ว หัดยอมรับคำชื่นชม ยอมรับถึงคุณค่าและเสน่ห์ที่ซ่อนอยู่ เมื่อคุณตอบรับคำชื่นชมก็คือมองเห็นคุณค่าในตัวเอง
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากเรื่องนี้คือ
1. การรับคำชมจากคนอื่นไม่ใช่การหลงตัวเองและอย่ากลัวว่าตัวเองจะหลงกับคำหวาน ถ้าประเมินแล้วว่าเราทำดีอย่างที่คนอื่นชื่นชมจริง
2. เลิกตัดสินตัวเองตลอดเวลา การมองว่าฉันมีข้อด้อยตรงไหน ฉันจะแก้ข้อเสียอย่างไร ลึกๆคือการตำหนิตัวเอง อย่าปล่อยให้การพัฒนาตนเองคือการหนีความกลัว เช่น ฉันเคยจน เคยลำบาก ดังนั้น ฉันต้องเรียนสูงๆจะได้ไม่อายคนอื่น แต่ให้ลองตั้งเป้าหมายว่าการเรียนสูง จะช่วยให้มีทางเลือกมากขึ้นแทน
แรงบันดาลใจจาก - หนังสือ ฝึกตัวเองให้เป็นคนที่ทิ้งเป็น -
เพราะเราเชื่อว่าการเปลี่ยนชีวิต เริ่มที่ความคิดและบ้านของคุณ ชอบสาระดีๆแบบนี้ โปรดกดแชร์และกดติดตามเลือก "รายการโปรด/เห็นโพสต์ก่อน"
เพื่อเป็นกำลังใจ
ขอบคุณภาพจาก https://unsplash.com/photos/MFxD_DqaCfA
Kapook Creator เป็นเนื้อหาที่นำเสนอโดยผู้สร้างสรรค์ที่เข้าร่วมโครงการ หากพบเนื้อหาที่ท่านเห็นว่าไม่ถูกต้องตามกติกา สามารถคลิกแจ้งปัญหาได้ที่นี่