โดยการระบาดครั้งนี้เกิดในรัฐ Kerala ในกลุ่มเด็กอายุน้อยกว่า 5 ขวบ ซึ่งในช่วงแรกที่มีการระบาดก็คาดเดาว่าน่าจะเป็นการกลายพันธุ์ของไวรัสที่ทำให้เกิดโรคมือ เท้า ปาก แต่จากข้อมูลล่าสุดพบว่าไม่ได้เกิดจากสายพันธุ์ใหม่แต่อย่างใด แต่จากการแยกสารพันธุกรรมพบว่ามีสาเหตุมาจาก Coxsackie A16 ที่ทำให้เกิดโรคมือ เท้า ปาก นั่นเอง
โรคหวัดมะเขือเทศ ถูกรายงานว่าพบผู้ป่วยครั้งแรกที่จังหวัด Kollam รัฐ Karela เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 และในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาก็มีรายงานว่าพบผู้ป่วยด้วยโรคนี้แล้วมากกว่า 82 คน โดยทั้งหมดอายุน้อยกว่า 5 ขวบ และตอนนี้ก็มีรายงานว่าพบผู้ป่วยจากรัฐอื่นๆ เช่นกัน
โดยที่ตัวโรคทั่วไปไม่ได้อันตรายถึงชีวิต และสามารถหายเองได้
อาการของโรคหวัดมะเขือเทศจะคล้ายคลึงกับโรค chikungunya คือมีไข้สูง ผื่น และปวดตามข้ออย่างมาก โดยสาเหตุที่เรียกว่า ไข้หวัดมะเขือเทศเพราะว่าผู้ป่วยจะตัวแดงจากตุ่มน้ำที่ค่อยๆ โตขึ้นทั่วร่างกายซึ่งทำให้รู้สึกเจ็บ และระคายเคือง
ลักษณะของตุ่มน้ำที่พบจะคล้ายกับตุ่มน้ำในโรคฝีดาษลิง (monkeypox virus) ที่เกิดในคนอายุน้อย
นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน ถ่ายเหลว มีภาวะขาดน้ำ ข้อบวม ปวดตามตัว คล้ายกับอาการของไข้หวัดใหญ่ และไข้เลือดออก
ถ้าหากเด็กๆ มีอาการเหล่านี้ก็แนะนำว่า ควรตรวจทางภูมิคุ้มกันวิทยาเพิ่มเติมเพื่อแยกโรคไข้เลือดออก, chikungunya, โรคไวรัสซิก้า, โรคสุกใส และเริม ซึ่งถ้าหากไม่ใช่โรคที่กล่าวถึงทั้งหมด ก็ควรสงสัยว่าอาจจะเป็นไข้หวัดมะเขือเทศ
การรักษาจะไม่มียาต้านไวรัสเฉพาะ แต่เป็นการรักษาตามอาการ ได้แก่
1. แยกผู้ป่วยออกจากคนอื่นๆ เนื่องจากติดต่อกันง่ายมาก โดยควรแยกตัว 5-7 วันหลังจากเริ่มมีอาการ
2. พักผ่อนให้เพียงพอ
3. ดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อลดโอกาสเสี่ยงขาดน้ำ
4. เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นเพื่อทำให้เกิดอาการคันน้อยลง
5. ให้ยาตามอาการ
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงภาวะแทรกซ้อนในระยะสั้นและระยะยาว เราคงต้องรอการรวบรวมข้อมูลต่อไป แนะนำทุกครอบครัวติดตามข่าวอย่างใกล้ชิดนะคะ
หมอเมษ์