แอตแลนติส (Atlantis) อารยธรรมปริศนาในตำนาน

ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา

เพจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์น่ารู้ต่างๆ ทั่วโลก เพราะประวัติศาสตร์จะไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป

          เรื่องราวของ "แอตแลนติส (Atlantis)" อารยธรรมในตำนาน ยังคงเป็นเรื่องราวที่สร้างความตื่นเต้นและสงสัยใคร่รู้ให้แก่ผู้คนทั่วโลก
แอตแลนติส

          ตัวผมเองก็เคยเขียนบทความในเพจเกี่ยวกับแอตแลนติสหลายบทความแล้ว หากแต่บทความนี้ ผมจะเขียนเรื่องของแอตแลนติสแบบละเอียด สำหรับคนที่เพิ่งจะมาตามเพจผม ก็สามารถอ่านได้ในบทความนี้บทความเดียวแบบยาวๆ ไม่ต้องไปตามอ่านจากในบทความอื่นที่ผมเคยเขียนไว้ หรืออ่านบทความอื่นประกอบบ้างเล็กน้อยเท่านั้น
          เรื่องราวของ "แอตแลนติส (Atlantis)" เริ่มขึ้นเมื่อราว 360 ปีก่อนคริสตกาล ในช่วงเวลาของกรีกโบราณ โดยเรื่องราวของแอตแลนติส คือเรื่องราวของดินแดนสวรรค์ ซึ่งดินแดนนี้ถูกถ่ายทอดผ่านการบอกเล่าของ "เพลโต (Plato)" นักปรัชญาชาวกรีกโบราณ
          ชาวแอตแลนติสจากคำบอกเล่าของเพลโตนั้น คือกลุ่มคนที่ร่ำรวยและทรงอำนาจ อีกทั้งยังเป็นครึ่งเทพเจ้าครึ่งคน
          ดินแดนแอตแลนติสนั้นไม่ได้ปกครองโดยกษัตริย์ หากแต่ผู้ปกครองแอตแลนติส ก็คือ "โพไซดอน (Poseidon)" เทพเจ้าแห่งท้องทะเล
          ในดินแดนแอตแลนติส เต็มไปด้วยสิ่งสวยงาม ทั้งดอกไม้ที่บานสะพรั่ง สุมทุมพุ่มไม้ร่มรื่น ผลไม้และพืชพรรณต่างๆ งอกงาม ช้างก็เดินอยู่ทั่วเมือง ผู้คนต่างก็ตกแต่งเมืองด้วยโลหะมีค่า ซึ่งมีค่ามากกว่าทองคำซะอีก อีกทั้งในเมืองยังมีหินมากพอสำหรับการก่อสร้างและแกะสลัก
          ชาวแอตแลนติสนั้นควบคุมกองเรือขนาดใหญ่ โดยชาวแอตแลนติสเดินทางทางเรือไปยังดินแดนต่างๆ ทั่วโลก มีการนำของมีค่าจำนวนมากจากต่างแดนกลับมายังแอตแลนติส
          ที่แอตแลนติส ในเมืองแห่งนี้มีระบบประปาที่ดี มีทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็น มีห้องอาบน้ำแยกชายหญิง มีแม้แต่ห้องอาบน้ำของม้า
          ผู้คนต่างก็มั่งคั่ง มีการสร้างวิหารกลางเมืองเพื่อบูชาโพไซดอน มีการสร้างรูปปั้นแกะสลักโพไซดอนบนรถม้า และมีผู้ติดตามนับร้อยซึ่งกำลังขี่โลมาล้อมรอบ
          รอบๆ ผนังวิหารนั้นตกแต่งด้วยทองคำ ประดับประดาอย่างสวยงาม
          ชาวแอตแลนติสต่างมีความสุขในดินแดนสวรรค์แห่งนี้ พวกเขาอยู่กันอย่างสงบสุข และต่างก็เป็นผู้ที่มีปัญญา ไม่สนใจในเงินทองหรืออำนาจ
          เพลโตได้เล่าว่าแอตแลนติสประกอบด้วยกลุ่มเกาะเล็กๆ ล้อมรอบกันและกันเป็นวงแหวน มีคลองตัดตรงกลางเพื่อให้เรือผ่านไปได้
          ชาวแอตแลนติสสร้างบ้านโดยใช้หินหลากสี ตกแต่งผนังด้วยทองเหลืองและดีบุก และบนเกาะยังมีที่ราบขนาดใหญ่ที่ใช้ในการเพาะปลูก
          เรียกได้ว่าชีวิตของชาวแอตแลนติสนั้นเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบและมีความสุข
          แต่เมื่อเวลาผ่านไป ชาวแอตแลนติสก็เริ่มจะเปลี่ยนเป็นผู้ที่ละโมบ ลุ่มหลงในกิเลสตัณหา พวกเขาเริ่มจะมีลักษณะเหมือนมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ ห่างไกลจากความเป็นเทพเจ้า
          ชาวแอตแลนติสเริ่มมีความเห็นแก่ตัว มีการสู้รบกันเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์ มุ่งแสวงแต่ความมั่งคั่งและอำนาจ
          พฤติกรรมของชาวแอตแลนติสล้วนอยู่ในสายตาของเทพเจ้า และ "ซูส (Zeus)" เทพเจ้าแห่งท้องนภาและผู้ปกครองเทพเจ้าทั้งปวงและเหล่ามนุษย์ ก็ได้ลงความเห็นว่าชาวแอตแลนติสควรจะต้องถูกลงโทษ
          ในคืนหนึ่ง เทพเจ้าซูสก็ได้ลงโทษแอตแลนติสด้วยการเสกให้เกิดเพลิงไหม้ใหญ่ขึ้นในเมือง ตามมาด้วยแผ่นดินไหว ทำให้สิ่งก่อสร้างต่างๆ พังทลาย และเลือนหายลงไปในท้องทะเล จมลงใต้ก้นสมุทร หายไปในชั่วข้ามคืน
          ไม่มีใครทราบว่าเรื่องเล่าของเพลโตนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ เนื่องจากตัวเพลโตนั้นก็เป็นนักเล่าเรื่องชั้นยอด มักจะมีเรื่องเล่าต่างๆ มากมาย
          แต่ที่แน่ๆ เรื่องราวของเทพเจ้าที่ลงโทษแอตแลนติสนั้น น่าจะไม่ใช่เรื่องจริง ผู้คนคิดว่าเพลโตน่าจะแต่งเรื่องขึ้นเพื่อสอนให้ผู้คนตระหนักถึงการลุ่มหลงในกิเลสตัณหา
          แต่ที่น่าแปลกก็คือ เรื่องราวแอตแลนติสของเพลโตนั้นมีการบอกรายละเอียดอย่างละเอียด บอกแม้กระทั่งสถานที่ตั้งของแอตแลนติส นั่นก็คือทางตะวันตกของช่องแคบยิบรอลตาร์ (Strait of Gibraltar)
          ช่องแคบยิบรอลตาร์ (Strait of Gibraltar) เป็นช่องแคบที่เชื่อมต่อมหาสมุทรแอตแลนติกกับทะเลอัลโบรัน และแยกประเทศสเปนออกจากประเทศโมร็อกโก โดยเพลโตได้ระบุไว้ชัดเจนว่าแอตแลนติสนั้นมีขนาดเท่าไร ซึ่งก็ทำให้นักประวัติศาสตร์หลายคนเกิดคำถาม
          "หากเรื่องราวของแอตแลนติสเป็นเพียงเรื่องแต่ง ทำไมถึงมีการระบุรายละเอียดยิบย่อยอย่างชัดเจนขนาดนี้?"
          เป็นไปได้หรือไม่ว่าเพลโตจะใช้เมืองที่มีอยู่จริงมาใช้เป็นต้นแบบของแอตแลนติส? ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าเพลโตอาจจะใช้เมืองที่มีอยู่จริงนำมาแต่งเป็นเรื่องราวของแอตแลนติส
          นักสำรวจต่างก็พยายามออกตามหาแอตแลนติส หากแต่ยิ่งตามหา ก็ยิ่งเกิดคำถามใหม่ๆ ขึ้นมามากมาย
          ตั้งแต่ในยุคสมัยของเพลโต ผู้คนต่างก็สนใจในเรื่องราวของแอตแลนติส และมีการเล่าเรื่องของแอตแลนติสสืบต่อมาเรื่อยๆ แม้แต่ตอนที่เพลโตเสียชีวิตไปแล้ว ชาวกรีกต่างก็ยังเล่าเรื่องของแอตแลนติสต่อมาเรื่อยๆ
          ในเวลาต่อมา ได้มีชายผู้หนึ่งชื่อว่า "แครนเทอร์ (Crantor)" และเป็นลูกศิษย์ของลูกศิษย์เพลโตอีกที ได้ให้ความสนใจในเรื่องราวของแอตแลนติสเป็นอย่างมาก และเชื่อว่าดินแดนนี้มีอยู่จริง
          แครนเทอร์ได้เดินทางไปอียิปต์เพื่อหาหลักฐานการมีอยู่ของแอตแลนติส โดยตามตำนานนั้น แครนเทอร์ได้พบเสาที่สลักอักษรอียิปต์โบราณ บอกเล่าเรื่องราวของแอตแลนติส
          ผ่านมาอีกนับพันปี ผู้คนส่วนใหญ่ดูเหมือนจะหลงลืมตำนานของแอตแลนติส ผู้คนไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก หากแต่เรื่องราวของแอตแลนติสก็ไม่ได้เลือนหายไปซะทีเดียว
          ในปีค.ศ.1492 (พ.ศ.2035) "คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus)" นักเดินเรือชาวอิตาลี ได้เดินเรือจากสเปนข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก และเมื่อเรือทั้งสามลำของโคลัมบัสล่องเข้าไปใกล้ชายฝั่ง โคลัมบัสก็แน่ใจว่าตนนั้นได้พบ "อีสต์อินดีส (East Indies)" ซึ่งก็คืออินเดีย จีน และญี่ปุ่นในปัจจุบัน
          แต่นอกจากนั้น โคลัมบัสยังคิดว่าตนอาจจะล่องเรือเข้าไปยังบริเวณใกล้กับดินแดนแอตแลนติสอีกด้วย
          ในสมัยศตวรรษที่ 16 และศตวรรษที่ 17 บุคคลสำคัญหลายคนก็ได้เขียนเรื่องราวของแอตแลนติสเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องจากจินตนาการ คาดเดาว่าดินแดนแอตแลนติสนั้นเป็นอย่างไร
          แต่สำหรับโคลัมบัสและนักสำรวจอีกหลายคน แอตแลนติสนั้นเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน และก็ไม่ได้คิดจะออกตามหาแอตแลนติสอย่างจริงจัง เพียงแต่สงสัยและจดบันทึกข้อสงสัยเหล่านั้นไว้ หากแต่ในอีกไม่กี่ร้อยปีต่อมา ทุกๆ อย่างก็เริ่มจะเปลี่ยนไป
          ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 สหรัฐอเมริกาและยุโรปได้เริ่มเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มีการเปลี่ยนจากสังคมชนบทแบบดั้งเดิม ไปสู่สังคมแห่งนวัตกรรม มีเครื่องจักรที่สามารถผลิตสินค้าได้จำนวนมาก
          "ชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin)" นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ได้เขียนแนวคิดใหม่เกี่ยวกับพืชและสัตว์ ส่วน "โทมัส เอดิสัน (Thomas Edison)" นักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน ก็ได้ประดิษฐ์หลอดไฟ
          ผู้คนทั่วโลกต่างก็ตื่นเต้นกับการค้นพบใหม่ๆ เหล่านี้ แต่นอกจากนั้น วงการหนังสือก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
          นักเขียนเริ่มจะเขียนเรื่องราวแบบใหม่ที่รวมเรื่องของวิทยาศาสตร์และการผจญภัยเข้าด้วยกัน ซึ่งก็คือนิยายแนววิทยาศาสตร์ (Science Fiction) ในปัจจุบันนั่นเอง และนิยายวิทยาศาสตร์บางเรื่อง ก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแอตแลนติส
          ในช่วงราวปีค.ศ.1870 (พ.ศ.2413) ที่มินเนโซต้า สหรัฐอเมริกา ชายที่ชื่อ "อิกเนเทียส ดอนเนลลี (Ignatius Donnelly)" ได้อ่านนิยายแนววิทยาศาสตร์เรื่อง "Twenty Thousand Leagues Under the Seas" ที่เขียนโดยนักเขียนชาวฝรั่งเศสที่ชื่อ "จูลส์ เวิร์น (Jules Verne)"
          ในนิยายเรื่องนี้ กล่าวถึงกัปตันนีโม (Captain Nemo) ซึ่งได้พาศาสตราจารย์แอรอนแน็กซ์ (Professor Aronnax) ขึ้นบนเรือดำน้ำ และดำลึกลงไปใต้ทะเล ซึ่งในการผจญภัยครั้งนี้ พวกเขาก็ได้พบซากเมืองโบราณ พร้อมด้วยหินที่สลักคำว่า "แอตแลนติส (Atlantis)"
          ดอนเนลลีนั้นเป็นอดีตนักการเมืองที่เพิ่งผ่านช่วงเวลาที่ค่อนข้างหนักหนา และหลังจากที่วางมือจากการเมือง เขาก็อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่เพียงลำพัง ทำให้เขาต้องหาอะไรซักอย่างทำเพื่อคลายความเหงา และตอนนี้ ก็ดูเหมือนว่าเขาจะเจอสิ่งที่จะทำแล้ว
          ดอนเนลลีตัดสินใจจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับแอตแลนติส โดยหนังสือที่เขาเขียน มีชื่อเรื่องว่า "The Antediluvian World" และออกวางจำหน่ายในปีค.ศ.1882 (พ.ศ.2425)
          ในหนังสือเล่มนี้ มีความต่างจากหนังสือเกี่ยวกับแอตแลนติสเล่มอื่นๆ ตรงที่ว่าดอนเนลลีนั้นไม่ได้ตั้งข้อสงสัยว่าแอตแลนติสนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ หากแต่ฟันธงไปเลยว่าแอตแลนติสมีอยู่จริง และบันทึกคำบอกเล่าของเพลโตก็เป็นความจริง
          ดอนเนลลีได้บรรยายว่าชาวแอตแลนติสมีการประดิษฐ์ดินปืน กระดาษ และมีการเพาะปลูก และในขณะที่แอตแลนติสจมลงไปอยู่ก้นสมุทร ก็ใช่ว่าชาวแอตแลนติสจะเสียชีวิตทุกคน ผู้รอดชีวิตก็มี
          ชาวแอตแลนติสที่รอดชีวิตได้ขึ้นเรือ อพยพไปยังดินแดนอื่นและริเริ่มอารยธรรมใหม่ และอารยธรรมหลายๆ แห่งบนโลกก็ล้วนมีรากเหง้ามาจากแอตแลนติส
          ดอนเนลลียังระบุถึงตำแหน่งของแอตแลนติส โดยระบุว่าอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก และที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าใต้มหาสมุทรนั้นมีภูเขาไฟ ซึ่งดอนเนลลีเชื่อว่าใต้สมุทรนี้ คือที่ตั้งของเกาะแอตแลนติส
          The Antediluvian World กลายเป็นหนังสือขายดี และหนังสือพิมพ์ก็ยกย่องหนังสือเล่มนี้ว่าเป็นหนึ่งในหนังสือที่โดดเด่นที่สุดเล่มหนึ่งแห่งศตวรรษ สร้างชื่อเสียงให้ดอนเนลลีเป็นอย่างมาก
          ในไม่ช้า ผู้คนต่างให้ความสนใจในเรื่องราวของแอตแลนติสอีกครั้ง และก็ได้เกิดทฤษฎีต่างๆ มากมายเกี่ยวกับแอตแลนติส ซึ่งหลายๆ ทฤษฎีนั้น ก็เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ
          "เฮเลน่า บลาวัตสกี (Helena Blavatsky)" นักเขียนและร่างทรงชาวรัสเซีย ได้ก่อตั้งศาสนาของตนเองขึ้นมา เรียกว่า "เทวญาณ (Theosophy)" โดยในปีค.ศ.1888 (พ.ศ.2431) บลาวัตสกีได้เขียนหนังสือชุด "The Secret Doctrine"
          ใน The Secret Doctrine บลาวัตสกีกล่าวว่ามนุษย์นั้นมีที่มาต่างกัน มาจากสัตว์ต่างๆ หลายชนิด รวมทั้งบางส่วนก็มาจากชาวแอตแลนติส
          บลาวัตสกีกล่าวว่าชาวแอตแลนติสนั้นคือยอดมนุษย์ มีไฟฟ้าไหลเวียนในร่างกาย เดินทางด้วยเรือบิน
          หลายคนไม่เชื่อถือข้อเขียนของบลาวัตสกี แต่ก็เริ่มจะเชื่อว่าแอตแลนติสน่าจะมีอยู่จริง และเริ่มออกหาหลักฐานที่จะพิสูจน์ถึงการมีอยู่ของแอตแลนติส
          ในอดีตนั้น อารยธรรมที่รุ่งเรืองก็อาจจะล่มสลายเนื่องจากภัยธรรมชาติ ซึ่งก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปอมเปอี (Pompeii) เมื่อค.ศ.79 (พ.ศ.622) เมื่อภูเขาไฟวิสุเวียส (Mount Vesuvius) ได้ระเบิด ทำลายเมืองปอมเปอีทั้งเมือง ทำให้คนในเมืองเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และปอมเปอีก็กลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา
          นอกจากปอมเปอี ก็มีอารยธรรมอีกจำนวนมากที่สูญหายไปกับธรรมชาติ และก็มีการตั้งข้อสันนิษฐานมากมายเกี่ยวกับแอตแลนติส
          หากดูจากบันทึกของเพลโต แอตแลนติสนั้นสูญหายไปเมื่อเกิดแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิด ทำให้เมืองจมอยู่ใต้ทะเล ซึ่งก็เกิดคำถามว่าข้อเขียนของเพลโตนี้มีความเป็นไปได้หรือไม่
          นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษา และตอบว่าเป็นไปได้ ทฤษฎีแรก เป็นไปได้ว่าอาจจะมีภูเขาไฟบนเกาะกลางมหาสมุทร และก็ค่อยๆ ปะทุทีละนิดมาเป็นเวลานานนับล้านปี
          ทุกครั้งที่ภูเขาไฟปะทุ หินและเถ้าถ่านก็ก่อตัวขึ้นเป็นรูปโคน และใต้โคนนี้เอง ก็ได้เกิดแมกม่า และแล้ววันหนึ่ง แมกม่านี้ก็ปะทุออกมา ออกมาจากปล่องภูเขาไฟที่เป็นทรงโคน และภูเขาไฟก็ค่อยๆ ทรุดตัว ก่อนจะจมลงสู่ก้นสมุทร เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ ส่วนแผ่นดินนั้นได้จมลงไปแล้ว
          ทฤษฎีที่สอง เป็นไปได้ว่าโลกได้เข้าสู่สภาวะที่อุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้ธารน้ำแข็งละลาย และลงสู่ทะเล ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ก่อนจะเกิดภูเขาไฟระเบิดบนเกาะที่อยู่ไม่ไกล เกิดเป็นคลื่นยักษ์ เข้าโจมตีเกาะที่จมลงไปแล้วรวมทั้งเกาะที่ยังไม่จมจนทุกอย่างหายไปในพริบตา
          ดังนั้นในความเป็นจริง ก็เป็นไปได้ที่อาจจะมีเกาะขนาดใหญ่ซึ่งจมลงใต้ทะเลจริงๆ และก็อาจจะตีความได้ว่าแอตแลนติสอาจจะมีอยู่จริง บางทีเรื่องเล่าของเพลโตอาจจะไม่ใช่แค่เรื่องเล่าก็เป็นได้

แต่แอตแลนติสอยู่ที่ไหนล่ะ?

          ที่ผ่านมา นักโบราณคดี นักวิทยาศาสตร์ และหลายฝ่าย ต่างก็มีคำถามเดียวกัน
          "การตามหาแอตแลนติสนั้นยากลำบากขนาดไหนกัน?"
          ที่ผ่านมา เพลโตก็ได้บอกถึงรายละเอียดของแอตแลนติสอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องทำก็แค่หาสถานที่ตามที่เพลโตได้บันทึกไว้ เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอ

แต่เรามาดูรายละเอียดกันดีกว่า

          ตามบันทึกนั้น แอตแลนติสนั้นอยู่บนเกาะ เกาะขนาดใหญ่พอๆ กับทวีปหนึ่งเลยทีเดียว และนักโบราณคดีก็ต้องหาหลักฐานว่าเคยมีผู้คนที่มั่งคั่งเคยอาศัยอยู่บนดินแดนนั้น
          จำเป็นจะต้องหาหลักฐานทางโบราณคดี ทั้งเครื่องเรือนต่างๆ งานศิลปะต่างๆ ซึ่งสิ่งของเหล่านี้ก็มีอยู่ในบันทึกของเพลโต
          ชาวแอตแลนติสนั้นจะต้องรู้วิธีการทำสิ่งของจากเหล็ก เนื่องจากเพลโตได้บรรยายว่ามีการตกแต่งผนังของบ้านชาวแอตแลนติสด้วยโลหะมีค่า อีกทั้งนักโบราณคดีก็จำเป็นต้องหาวิหารตามที่เพลโตบรรยาย
          แต่นอกจากนั้น เพลโตยังบรรยายว่าแอตแลนติสมีระบบการจัดการพื้นที่เป็นรูปวงแหวน มีการแบ่งพื้นที่ระหว่างพื้นดินกับผิวน้ำ เรียงกันอยู่ภายใน อีกทั้งเกาะแอตแลนติสยังจะต้องมีที่ราบสำหรับเพาะปลูก รวมถึงภูเขา
          และตามบันทึกของเพลโต ผู้คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนกรีซและเอเธนส์ ยังจะต้องเดินทางถึงแอตแลนติสได้อย่างสะดวก ดังนั้นแอตแลนติสจะต้องอยู่ในระยะที่สามารถเดินเรือจากเอเธนส์ได้ และเพลโตยังกล่าวอีกว่าแอตแลนติสนั้นอยู่ใกล้กับ "เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส (Pillars of Hercules)" ซึ่งเป็นแนวภูเขาหินตั้งอยู่สองข้างของช่องแคบยิบรอลตาร์ และแอตแลนติสก็จมลงสู่ก้นทะเลเมื่อราว 9,600 ปีก่อนคริสตกาล
          ที่ผ่านมา หลายคนก็คิดว่าสิ่งที่ต้องทำ ก็คือหาดินแดนซักแห่งที่ใกล้เคียงกับที่เพลโตบรรยายมากที่สุด ซึ่งนักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์ต่างก็พยายามทำมาตลอด มีการตามหาทั้งบนบกและใต้ทะเล
          หากว่าแอตแลนติสยังคงจมอยู่ก้นมหาสมุทร ก็คงจะถูกปกคลุมด้วยโคลนและทรายจำนวนมาก แต่ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ก็อาจจะหาทางลงสู่ก้นมหาสมุทรเพื่อตามหาซากเมืองที่สาปสูญแห่งนี้ได้
          หากพิจารณาดีๆ การออกตามหาแอตแลนติสอาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดไว้ในทีแรก คำบรรยายของเพลโตก็สามารถตีความได้ถึงหลายสถานที่ และที่ผ่านมา ก็มีการคาดเดาถึงสถานที่ตั้งของแอตแลนติสไปต่างๆ นานา
          ในสมัยศตวรรษที่ 17 "โอเลาส์ รุดเบค (Olaus Rudbeck)" นักวิทยาศาสตร์และนักเขียนชาวสวีเดน ได้ให้ความสนใจในเรื่องตำนานของแอตแลนติส และได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับแอตแลนติส เป็นหนังสือชุดที่มีชื่อว่า "Atlantica"
          รุดเบคมั่นใจว่าซากเมืองแอตแลนติสนั้นอยู่ในสวีเดน โดยรุดเบคได้สำรวจในบริเวณหมู่บ้านที่ชื่อว่า "โอลด์อัพซาลา (Old Uppsala)" โดยรุดเบคได้ทำการขุดสำรวจเนินดินโบราณที่มนุษย์โบราณใช้เป็นจุดที่ฝังศพคนตาย
          จากการขุดสำรวจ รุดเบคพบกับโครงกระดูกมนุษย์โบราณที่มีส่วนสูงมากกว่ามนุษย์ปกติ และรุดเบคก็ฟันธงทันทีว่านี่คือโครงกระดูกของชาวแอตแลนติสและบริเวณนี้ก็คือที่ตั้งของศูนย์กลางอาณาจักรแอตแลนติส
          แต่ปัญหาก็คือสวีเดนนั้นอยู่ห่างจากกรีซและเอเธนส์กว่า 3,000 กิโลเมตร แต่ตามบันทึกของเพลโต แอตแลนติสจะต้องอยู่ไม่ไกลจากกรีซและเอเธนส์ แต่ถึงอย่างนั้น รุดเบคก็มั่นใจว่าจุดนี้คือแอตแลนติส แม้แต่ตอนที่รุดเบคเสียชีวิตในปีค.ศ.1702 (พ.ศ.2245) ก็ยังคงเชื่อเช่นนั้น
          กว่า 300 ปีต่อมา ในยุค 70 (พ.ศ.2513-2522) "ชาร์ลส์ เบอร์ลิทซ์ (Charles Berlitz)" นักเขียนชาวอเมริกัน ได้กล่าวว่าตนเชื่อว่าแอตแลนติสคือทวีปที่ตั้งอยู่นอกชายฝั่งเบอร์มิวดา ซึ่งเบอร์มิวดา (Bermuda) ก็คือเกาะขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของชายฝั่งสหรัฐอเมริกา ห่างออกไปประมาณ 1,000 กิโลเมตร
          เบอร์ลิทซ์เขียนว่าตนนั้นเชื่อว่าแอตแลนติสนั้นจมหายไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา (Bermuda Triangle) ซึ่งน่าจะเป็นผลจากพลังงานลึกลับบางอย่างในบริเวณนั้น
          หลังจากนั้น นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาทฤษฎีของเบอร์ลิทซ์ และจากการสำรวจ ก็พบกับแนวหินใต้ทะเลในบริเวณจุดที่เบอร์ลิทซ์บอก มีลักษณะเป็นเหมือนกำแพงที่มนุษย์สร้างขึ้น หากแต่ในภายหลัง นักวิทยาศาสตร์ก็ได้กล่าวว่าแนวหินนี้เป็นแนวหินที่เกิดตามธรรมชาติเท่านั้น
          บางคนก็เชื่อว่าแอตแลนติสนั้นจมอยู่ใต้แผ่นน้ำแข็งในแอนตาร์กติกา ซึ่งอยู่ห่างเอเธนส์เป็นหมื่นกิโลเมตร แต่คนที่เชื่อในทฤษฎีนี้ ก็เรียกทฤษฎีนี้ว่า "Earth crust displacement"
          ทฤษฎีนี้เชื่อว่าในบางครั้งเปลือกโลกชั้นนอกก็มีการเคลื่อนที่ ทำให้ทวีปและแผ่นดินต่างๆ เคลื่อนไปยังจุดอื่นๆ ซึ่งก็เชื่อว่าแอตแลนติสก็ประสบภาวะนี้เช่นกัน
          และหลายคนก็คิดว่าแอนตาร์กติกาก็ไม่ใช่ว่าจะหนาวตลอด โดยมีทฤษฎีว่าเมื่อ 9,600 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่แอตแลนติสล่มสลาย เชื่อว่าในเวลานั้น แอนตาร์กติกานั้นมีอากาศอบอุ่น ร้อนชื้น หากแต่นักวิทยาศาสตร์ก็ได้ออกมาโต้แย้ง โดยกล่าวว่าในช่วงเวลาหนึ่งแอนตาร์กติกามีภูมิอากาศร้อนชื้นจริง หากแต่นั่นเป็นเมื่อกว่า 90 ล้านปีที่แล้ว
          ตามทฤษฎีนี้กล่าวว่า แผ่นดินไหวที่ทำให้แอตแลนติสล่มสลายตามบันทึกของเพลโต อันที่จริง แผ่นดินไหวนั้นคือการสั่นสะเทือนของการเคลื่อนไหวของเปลือกโลก และเชื่อว่าแอตแลนติสก็เป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์นี้ มีการเคลื่อนที่ไปยังแอนตาร์กติกา และซากเมืองแอตแลนติสก็จมอยู่ใต้แผ่นน้ำแข็ง
          ไม่มีใครตอบได้แน่ชัดว่าแอตแลนติสนั้นอยู่ในสวีเดนหรือแอนตาร์กติกา หรือบางที อาจจะอยู่ใต้สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
          แต่ก็ยังมีทฤษฎีอื่นๆ ที่ชี้ว่าแอตแลนติสนั้นอยู่ในจุดอื่นที่ใกล้กับเอเธนส์และใกล้เคียงคำบรรยายของเพลโต

"มอลตา (Malta)" เป็นเกาะบนทะเลเมดิเตอเรเนียน

          เกาะแห่งนี้เป็นดินแดนที่สงบ เต็มไปด้วยตึกที่มีสถาปัตยกรรมแบบเก่า รวมทั้งชายหาดที่สวยงาม และคนที่สนใจเรื่องของแอตแลนติสก็คิดว่าบางที สถานที่แห่งนี้อาจจะเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส
          มอลตานั้นมีหลายๆ อย่างตรงตามที่เพลโตบรรยาย ทั้งมีระยะทางไม่ไกลจากเอเธนส์ กรีซ เป็นดินแดนที่เป็นเกาะ เต็มไปด้วยซากอารยธรรมโบราณ รวมทั้งวิหารต่างๆ ซากเมืองจำนวนมากก็จมอยู่ใต้น้ำ เช่นเดียวกับที่หลายคนเชื่อว่าเมืองแอตแลนติสจมอยู่ใต้ทะเล
          ดูเหมือนว่าดินแดนนี้จะตรงตามที่เพลโตบรรยายอย่างมาก ยกเว้นข้อหนึ่ง
          มอลตาไม่มีภูเขา หากแต่ตามบันทึกของเพลโต แอตแลนติสมีภูเขา
          นอกจากนั้นมอลตายังไม่มีพื้นที่ราบกว้างใหญ่ ต่างจากคำบรรยายของแอตแลนติส ดังนั้นมอลตาก็ไม่ได้ตรงทั้งหมด
          บางทีอาจจะมีสถานที่ซึ่งตรงตามที่เพลโตบันทึกทั้งหมด ซึ่งหนึ่งในสถานที่นั้น ก็คือที่ราบบริเวณ "Souss-Massa" ในโมร็อกโก
          ในยุค 2000 (พ.ศ.2543-2552) "ไมเคิล ฮับเนอร์ (Michael Hubner)" โปรแกรมเมอร์จากเยอรมนี ได้ทำลิสต์รายการรายละเอียดเกี่ยวกับแอตแลนติสที่เพลโตได้บันทึกไว้ ก่อนจะนำรายละเอียดจำนวน 50 ข้อนั้นไปเข้าโปรแกรมคำนวณ เช็คดูว่ามีสถานที่ใดซึ่งตรง มีคุณลักษณะครบทุกข้อ ซึ่งผลที่ได้ออกมานั้น

"Souss-Massa" ในโมร็อกโก

          แต่ก็มีปัญหาอยู่หนึ่งข้อ นั่นก็คือแอตแลนติสนั้นเป็นเกาะ ล้อมรอบด้วยน้ำ แต่ Souss-Massa เป็นที่ราบ แห้งแล้ง แทบจะไม่มีน้ำเลย อีกทั้งยังไม่พบซากโบราณวัตถุหรือซากเมืองในบริเวณนี้เลย
          อีกจุดที่ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นแอตแลนติส และยังพบซากเมืองโบราณ ก็คือบริเวณที่เรียกว่า "ตาร์เตสโซส (Tartessos)" ในสเปน ซึ่งสถานที่นี้ตรงตามคุณลักษณะของแอตแลนติสหลายข้อ
          ชาวตาร์เตสโซสนั้นมีฐานะมั่งคั่ง หากแต่อารยธรรมของตาร์เตสโซสก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
          บริเวณรอบๆ ตาร์เตสโซสนั้นก็เคยเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์หลายครั้ง และสภาพภูมิศาสตร์ก็ค่อนข้างตรงกับแอตแลนติส หากแต่ก็ไม่ได้ครบทุกข้อ
          ข้อที่ไม่ตรงมากที่สุด คือบริเวณชายฝั่งสเปนใกล้ๆ กับตาร์เตสโซสไม่ได้มีสภาพเป็นเกาะ และบริเวณนั้นก็ไม่มีเกาะอยู่เลย แต่จากบันทึกของเพลโต แอตแลนติสนั้นเป็นเกาะ
          ดังนั้น หากแอตแลนติสไม่ได้อยู่ที่แอนตาร์กติกา สวีเดน มอลตา สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา โมร็อกโก หรือนอกชายฝั่งสเปน ดังนั้นก็มาถึงคำถามสำคัญ

"แอตแลนติสมีอยู่จริงหรือ?"

          เราลองมาวิเคราะห์กัน
          ในยุคสัมฤทธิ์ เมื่อราว 3,300-1,200 ปีก่อนคริสตกาล ได้มีกลุ่มคนที่เรียกว่า "ชาวไมนวน (Minoans)" ได้อาศัยอยู่บนเกาะซันโตรีนี (Santorini) ซึ่งในปัจจุบันอยู่ที่กรีซ
          ชาวไมนวนนั้นมีฐานะร่ำรวย เมืองหลวงของชาวไมนวนคือเมืองแอโครเทียรี (Akrotiri) และเต็มไปด้วยตึกสูงสองถึงสามชั้น มีการตกแต่งจิตรกรรมฝาผนัง และยังมีวังที่มีขนาดใหญ่
          ชาวไมนวนนั้นมีเรือหลายลำที่ใช้ในการเดินทางไปค้าขายกับดินแดนอื่น อีกทั้งบนเกาะก็มีที่ราบสำหรับเพาะปลูก มีแนวหินเป็นวงกลมชั้นๆ รอบเกาะ มีคลองตัดตรงกลาง อีกทั้งยังมีภูเขาไฟอีกด้วย
          ต่อมาเมื่อราว 1,500 ปีก่อนคริสตกาล ภูเขาไฟได้เริ่มปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เริ่มปล่อยควันออกมา ก่อนที่ในวันหนึ่ง ฝุ่นผงจำนวนมหาศาลก็ได้ออกมาจากปล่องภูเขาไฟ ปกคลุมแสงอาทิตย์จนกลางวันกลายเป็นกลางคืน
          จากนั้น ภูเขาไฟก็ค่อยๆ ทรุดตัว และทำให้พื้นดินรอบๆ ทรุดตัวและไหลลงสู่ทะเล ตามมาด้วยคลื่นยักษ์ที่ซัดทำลายทุกอย่าง
          จากเหตุการณ์นี้ ชาวไมนวนได้สูญสลาย เมืองที่สวยงามของไมนวนก็ได้สลายไปเช่นเดียวกัน
          หลังจากเหตุการณ์สงบ ก็ยังมีพื้นดินบางส่วนที่ยังไม่จม และเมื่อเวลาผ่านไป ก็เริ่มมีต้นไม้ขึ้น สัตว์ต่างๆ ก็ได้เข้ามาอาศัย ตามมาด้วยผู้คนที่เข้ามาตั้งรกรากและทำการเพาะปลูก
          จากนั้นเป็นเวลากว่า 3,000 ปี แอโครเทียรีก็อยู่อย่างสงบ
          แต่เมื่อถึงปลายศตวรรษที่ 19 คนงานเหมืองบนเกาะก็ได้ค้นพบโบราณวัตถุ ทำให้นักโบราณคดีเข้ามาตรวจสอบ และก็พบซากอาคาร งานศิลปะ และโบราณวัตถุอีกจำนวนมาก และเมื่อมีการขุดพบซากเมืองแอโครเทียรีในปีค.ศ.1967 (พ.ศ.2510) หลายคนก็คิดว่านี่อาจจะเป็นแอตแลนติสที่กำลังตามหา
          แต่ปัญหาก็ยังคงมีอยู่ แอโครเทียรีนั้นอยู่ห่างออกไปจากโลเคชั่นที่เพลโตบรรยายไว้กว่า 2,000 กิโลเมตร อีกทั้งเพลโตยังบรรยายว่าแอตแลนติสนั้นมีพื้นที่ราบขนาดใหญ่สำหรับเพาะปลูก และคลองที่เรือแล่นผ่านก็มีระยะทางยาวนับพันกิโลเมตร อีกทั้งแอตแลนติสยังสาปสูญไปเมื่อราว 9,600 ปีก่อนคริสตกาล
          หากตัวเลขเหล่านี้เป็นจริง ซันโตรีนีก็ไม่น่าใช่ที่ตั้งของแอตแลนติส เนื่องจากเกาะนี้มีขนาดเล็กเกินไป และการระเบิดของภูเขาไฟก็เกิดขึ้นเมื่อราว 1,500 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเท่ากับ 8,000 ปีหลังจากที่แอตแลนติสล่มสลายตามคำบรรยายของเพลโต
          ในยุค 60 (พ.ศ.2503-2512) นักวิทยาศาสตร์ชาวกรีกที่ชื่อ "แอนเจลอส กาลาโนปูลอส (Angelos Galanopoulos)" ได้เขียนบันทึกว่าตนนั้นเชื่อว่า เมื่อมีการแปลข้อเขียนของเพลโต ได้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น
          มีคนตีความหมายสัญลักษณ์ผิด จากสัญลักษณ์ "100" กลายเป็น "1,000"
          นั่นเท่ากับว่าปีต่างๆ ที่เพลโตบันทึกไว้จะนานกว่าความเป็นจริงมาก และขนาดของพื้นที่ต่างๆ ก็ใหญ่กว่าความเป็นจริง และเท่ากับว่าในความเป็นจริง แอตแลนติสได้ล่มสลายเมื่อ 1,500-1,000 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ภูเขาไฟบนซันโตรีนีระเบิดและทำลายอารยธรรมไมนวน
          ส่วนเรื่องของเสาหินแห่งเฮอร์คิวลีสและช่องแคบยิบรอลตาร์ นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา กาลาโนปูลอสคิดว่าบางที เพลโตอาจจะหมายถึงแนวหินอื่น ซึ่งอาจจะอยู่คนละทวีปกันเลยก็ได้
          กาลาโนปูลอสเชื่อว่าแอตแลนติสนั้นอยู่บนซันโตรีนี ส่วนรุดเบคก็เชื่อว่าแอตแลนติสอยู่ในสวีเดน ทางด้านเบอร์ลิทซ์ก็คิดว่าแอตแลนติสอยู่ใต้สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
          หากแต่ทฤษฎีเหล่านี้ ก็อาจจะจำเป็นที่จะต้องปรับตัวเลขใหม่ทั้งหมด หรือไม่ก็ต้องข้ามข้อมูลของเพลโตไปบางข้อ ไม่อย่างนั้นก็อาจจะไม่สามารถสรุปความจริงได้เลย และเรื่องราวของแอตแลนติสก็ยังเป็นที่เล่าขานมาจนถึงทุกวันนี้ และปรากฏในสื่อต่างๆ มากมาย
          บางที เรื่องราวของแอตแลนติสอาจจะมีอยู่จริง ในอดีตอาจจะเคยมีอารยธรรมที่รุ่งเรืองมากก่อนจะสาปสูญไป
          หรือบางที อาจจะเป็นเรื่องจากจินตนาการที่เอาเหตุการณ์ต่างๆ มาโยงกันก็เป็นได้
          บางทีคำตอบของเรื่องนี้ อาจจะอยู่ที่อนาคตและเวลา

References :

ต้นฉบับ :

Kapook Creator เป็นเนื้อหาที่นำเสนอโดยผู้สร้างสรรค์ที่เข้าร่วมโครงการ หากพบเนื้อหาที่ท่านเห็นว่าไม่ถูกต้องตามกติกา สามารถคลิกแจ้งปัญหาได้ที่นี่
เรื่องอื่นๆของ ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา
Advertisements
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
แอตแลนติส (Atlantis) อารยธรรมปริศนาในตำนาน อัปเดตล่าสุด 28 ธันวาคม 2565 เวลา 15:03:54 10,542 อ่าน
TOP