ย้อนเหตุการณ์ในวันที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ กับ 24 ชม. ที่เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล

ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา

เพจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์น่ารู้ต่างๆ ทั่วโลก เพราะประวัติศาสตร์จะไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป

          เหตุการณ์ในวันที่ "ไดโนเสาร์" สูญพันธุ์
ไดโนเสาร์

          หลายคนน่าจะทราบเรื่องการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์เมื่อนับล้านปีก่อน
          เรื่องที่หลายคนทราบ ก็คือมีอุกกาบาตขนาดยักษ์พุ่งลงใส่โลก กวาดสิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนโลกไปจนไม่เหลือ
          แต่รายละเอียดลึกๆ ของวันที่เกิดเหตุเป็นอย่างไร? หลายคนอาจจะอยากทราบ
          ในปัจจุบัน ด้วยวิทยาการทางเทคโนโลยีและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์จึงสามารถจำลองและทราบไทม์ไลน์ของเหตุการณ์ในวันนั้น

เราลองมาดูกันครับ

          ย้อนกลับไปเมื่อ 66 ล้านปีก่อน โลกนั้นปราศจากมนุษย์ สภาพแวดล้อมก็แตกต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง เป็นโลกที่เต็มไปด้วยชีวิต ความอบอุ่น และผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์
          ในช่วงระยะเวลา 165 ล้านปี ไดโนเสาร์ได้มีวิวัฒนาการต่อมาเรื่อยๆ กลายเป็นหลายสายพันธุ์ รูปร่างที่แตกต่างกันออกไป และไดโนเสาร์เหล่านี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ครองความเป็นใหญ่ในโลก
          โลกในเวลานั้นสวยงามดั่งสรวงสวรรค์ เต็มไปด้วยชีวิตชีวา หากแต่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายไม่ทราบเลยว่าหายนะกำลังมาเยือน
          หากมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ก็จะเห็นดวงดาวที่อยู่ห่างออกไป หากแต่สว่างจ้า
          ในเวลาต่อมา ผ่านไปเป็นสัปดาห์ ดวงดาวที่อยู่ห่างออกไปและเป็นเพียงจุดเล็กๆ ก็ค่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ดาวดวงเล็กๆ นั้นก็หายไปยังเงามืดของโลก
          ในเวลาเช้า วัตถุขนาดใหญ่นั้นก็ได้ปรากฏบนท้องฟ้าอีกครั้ง และครั้งนี้ใหญ่และสว่างกว่าทุกครั้ง ซึ่งสิ่งที่ปรากฏบนฟ้านั้น ก็คืออุกกาบาตที่มีขนาดกว้างระหว่าง 11-81 กิโลเมตร และกำลังพุ่งมายังโลก
          เมื่ออุกกาบาตเข้ามายังชั้นบรรยากาศโลก อุกกาบาตนี้ก็ใช้เวลาเพียงสามวินาทีในการเข้าปะทะกับชายฝั่งใกล้กับอ่าวยูคาตันทางแถบอเมริกาเหนือ โดยความเร็วของอุกกาบาตนั้นเร็วกว่าความเร็วเสียงถึง 58 เท่า
          สำหรับขนาดของอุกกาบาตนั้น เรียกได้ว่ามหึมา มีขนาดใหญ่กว่าภูเขาเอเวอเรสต์ซะอีก และเมื่ออุกกาบาตปะทะกับมหาสมุทร น้ำทะเลก็พุ่งสูงขึ้นไปยังชั้นบรรยากาศ สูงกว่าระดับความสูงที่เครื่องบินบิน
          เมื่ออุกกาบาตปะทะกับน้ำทะเล พลังงานที่ปลดปล่อยออกมานั้นมากกว่าระเบิดปรมาณูในฮิโรชิม่ากว่า 10,000 ล้านลูก และเกิดดวงไฟสว่างวาบบนท้องฟ้าเหนืออ่าวเม็กซิโก
          ความรุนแรงนั้นเทียบเท่าระเบิดปรมาณูที่ถูกทิ้งลงยังฮิโรชิม่าเมื่อปีค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) กว่า 10,000 ล้านลูก ทำให้เปลือกโลกแหลกละเอียด
          รูบนเปลือกโลกที่เกิดจากความรุนแรงนั้น มีความลึกเกือบ 30 กิโลเมตร กว้าง 100 กิโลเมตร และน้ำในมหาสมุทรก็ถูกผลักให้เลื่อนออกไปกว่า 160 กิโลเมตร
          แต่รูนี้ก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อเปลือกโลกเคลื่อนที่กลับด้วยความเร็วเกือบ 600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
          ความรุนแรงนั้นทำให้เศษของเปลือกโลกและก้อนหิน ถูกแรงปะทะจนพุ่งสู่ชั้นบรรยากาศและอาจจะออกไปไกลถึงอวกาศ และภายในไม่กี่นาที คลื่นกระแทกที่มีความรุนแรงก็ได้แผ่ไปทั่วโลก
          เกิดแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงระดับ 11 แมกนิจูด และคลื่นกระแทกจากการระเบิดก็ได้แผ่ออกไปด้วยความเร็วกว่า 1,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจากศูนย์กลาง ทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้า
          เกิดคลื่นสึนามิที่มีความสูงกว่า 1.5 กิโลเมตร สูงกว่าตึกสูงทุกตึกที่เคยมีมา และคลื่นก็มุ่งไปยังทุกทิศ
          คลื่นยักษ์ปะทะทุกดินแดน ทำลายล้างดินแดนต่างๆ นับพันกิโลเมตร หากเป็นปัจจุบัน คลื่นนี้จะสามารถทำให้ทวีปทั้งทวีปหายไปได้ในพริบตา
          สำหรับเศษเปลือกโลกและก้อนหินที่กระเด็นขึ้นไปยังอวกาศที่ผมเล่าไปก่อนหน้านั้น หลายส่วนได้พุ่งไปไกลถึงดวงจันทร์ บ้างก็โคจรรอบโลกและเป็นเช่นนั้นนับพันปี หากแต่ส่วนมากได้ตกลงกลับสู่ชั้นบรรยากาศโลก ซึ่งวัตถุเหล่านี้เรียกว่า "อุลกมณี (Tektite)"
          อุลกมณีหลายชิ้นมีขนาดใหญ่กว่ารถบรรทุก บางชิ้นก็เล็กเท่าก้อนกรวด โดยขณะที่อุลกมณีเหล่านี้พุ่งกลับสู่พื้นโลกนั้น ก็ได้พุ่งด้วยความเร็วระหว่าง 160-320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งด้วยความเร็วขนาดนี้ ทำให้วัตถุเหล่านี้มีความร้อนสูงนับร้อยองศาเซลเซียส
          และลองจินตนาการถึงเศษก้อนกรวดหรืออุลกมณีนับล้านตันที่พุ่งด้วยความเร็วสูงกลับสู่พื้นโลกผ่านชั้นบรรยากาศสิครับ สิ่งที่ตามมาคือหายนะ
          อากาศบนโลกนั้นร้อนระอุราวกับเตาอบ อุณหภูมิสูงเกือบ 1,500 องศาเซลเซียส ทำให้สิ่งมีชีวิตทุกอย่างตายในทันที
          อุณหภูมิที่ร้อนระอุบวกกับอุลกมณีจำนวนมหาศาลที่ตกสู่พื้นโลก ทำให้ทั่วโลกนั้นมอดไหม้ ไฟไหม้ในหลายๆ พื้นที่ดำเนินไปเป็นระยะเวลาหลายเดือน ทำให้โลกกลายเป็นลูกไฟขนาดใหญ่
          และความรุนแรงยังไม่หมด แรงกระแทกของอุกกาบาตทำให้ซัลเฟอร์และน้ำนับล้านล้านแกลลอนพุ่งขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ เกิดเป็นพายุใหญ่ เป็นฝนกรดตกสู่พื้นโลกและท้องทะเล ทำให้สัตว์น้ำทุกชนิดตายในทันที และน้ำมันจากชั้นหินที่พุ่งสู่ชั้นบรรยากาศก็ทำให้ท้องฟ้านั้นมืดสนิท พืชทุกชนิดล้วนแต่สูญสิ้น
          จากนั้น สิ่งที่ตามมาก็คืออุณหภูมิที่ลดต่ำลงอย่างกะทันหัน อุณหภูมิจากร้อนระอุก็กลายเป็นหนาวเหน็บ สายพันธุ์สิ่งมีชีวิตต่างๆ กว่า 75% สูญพันธุ์ไปในทันที รวมทั้งสายพันธุ์ไดโนเสาร์ที่สูญพันธุ์ไปจนไม่เหลือ
          ภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง โลกก็เปลี่ยนไปตลอดกาล
          เรื่องของวันที่เกิดเหตุที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์นั้นอาจจะฟังดูน่ากลัว โลกดูราวกับนรก
          แต่หากไม่เกิดเหตุการณ์นี้ โลกก็อาจจะไม่เหมือนเช่นปัจจุบัน ปัจจุบันอาจจะไม่มีมนุษย์ อารยธรรมต่างๆ ก็คงไม่ได้เกิด
          สำหรับในอนาคต อนาคตของมนุษยชาติจะซ้ำรอยกับเหตุการณ์การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์หรือไม่
          คงมีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะตอบได้

References :

Kapook Creator เป็นเนื้อหาที่นำเสนอโดยผู้สร้างสรรค์ที่เข้าร่วมโครงการ หากพบเนื้อหาที่ท่านเห็นว่าไม่ถูกต้องตามกติกา สามารถคลิกแจ้งปัญหาได้ที่นี่
เรื่องอื่นๆของ ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา
Advertisements
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ย้อนเหตุการณ์ในวันที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ กับ 24 ชม. ที่เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล อัปเดตล่าสุด 25 สิงหาคม 2566 เวลา 15:27:08 23,352 อ่าน
TOP