เหตุการณ์ในวันที่ "ไดโนเสาร์" สูญพันธุ์
หลายคนน่าจะทราบเรื่องการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์เมื่อนับล้านปีก่อน
เรื่องที่หลายคนทราบ ก็คือมีอุกกาบาตขนาดยักษ์พุ่งลงใส่โลก กวาดสิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนโลกไปจนไม่เหลือ
แต่รายละเอียดลึกๆ ของวันที่เกิดเหตุเป็นอย่างไร? หลายคนอาจจะอยากทราบ
ในปัจจุบัน ด้วยวิทยาการทางเทคโนโลยีและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์จึงสามารถจำลองและทราบไทม์ไลน์ของเหตุการณ์ในวันนั้น
เราลองมาดูกันครับ
ย้อนกลับไปเมื่อ 66 ล้านปีก่อน โลกนั้นปราศจากมนุษย์ สภาพแวดล้อมก็แตกต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง เป็นโลกที่เต็มไปด้วยชีวิต ความอบอุ่น และผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์
ในช่วงระยะเวลา 165 ล้านปี ไดโนเสาร์ได้มีวิวัฒนาการต่อมาเรื่อยๆ กลายเป็นหลายสายพันธุ์ รูปร่างที่แตกต่างกันออกไป และไดโนเสาร์เหล่านี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ครองความเป็นใหญ่ในโลก
โลกในเวลานั้นสวยงามดั่งสรวงสวรรค์ เต็มไปด้วยชีวิตชีวา หากแต่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายไม่ทราบเลยว่าหายนะกำลังมาเยือน
หากมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ก็จะเห็นดวงดาวที่อยู่ห่างออกไป หากแต่สว่างจ้า
ในเวลาต่อมา ผ่านไปเป็นสัปดาห์ ดวงดาวที่อยู่ห่างออกไปและเป็นเพียงจุดเล็กๆ ก็ค่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ดาวดวงเล็กๆ นั้นก็หายไปยังเงามืดของโลก
ในเวลาเช้า วัตถุขนาดใหญ่นั้นก็ได้ปรากฏบนท้องฟ้าอีกครั้ง และครั้งนี้ใหญ่และสว่างกว่าทุกครั้ง ซึ่งสิ่งที่ปรากฏบนฟ้านั้น ก็คืออุกกาบาตที่มีขนาดกว้างระหว่าง 11-81 กิโลเมตร และกำลังพุ่งมายังโลก
เมื่ออุกกาบาตเข้ามายังชั้นบรรยากาศโลก อุกกาบาตนี้ก็ใช้เวลาเพียงสามวินาทีในการเข้าปะทะกับชายฝั่งใกล้กับอ่าวยูคาตันทางแถบอเมริกาเหนือ โดยความเร็วของอุกกาบาตนั้นเร็วกว่าความเร็วเสียงถึง 58 เท่า
สำหรับขนาดของอุกกาบาตนั้น เรียกได้ว่ามหึมา มีขนาดใหญ่กว่าภูเขาเอเวอเรสต์ซะอีก และเมื่ออุกกาบาตปะทะกับมหาสมุทร น้ำทะเลก็พุ่งสูงขึ้นไปยังชั้นบรรยากาศ สูงกว่าระดับความสูงที่เครื่องบินบิน
เมื่ออุกกาบาตปะทะกับน้ำทะเล พลังงานที่ปลดปล่อยออกมานั้นมากกว่าระเบิดปรมาณูในฮิโรชิม่ากว่า 10,000 ล้านลูก และเกิดดวงไฟสว่างวาบบนท้องฟ้าเหนืออ่าวเม็กซิโก
ความรุนแรงนั้นเทียบเท่าระเบิดปรมาณูที่ถูกทิ้งลงยังฮิโรชิม่าเมื่อปีค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) กว่า 10,000 ล้านลูก ทำให้เปลือกโลกแหลกละเอียด
รูบนเปลือกโลกที่เกิดจากความรุนแรงนั้น มีความลึกเกือบ 30 กิโลเมตร กว้าง 100 กิโลเมตร และน้ำในมหาสมุทรก็ถูกผลักให้เลื่อนออกไปกว่า 160 กิโลเมตร
แต่รูนี้ก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อเปลือกโลกเคลื่อนที่กลับด้วยความเร็วเกือบ 600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ความรุนแรงนั้นทำให้เศษของเปลือกโลกและก้อนหิน ถูกแรงปะทะจนพุ่งสู่ชั้นบรรยากาศและอาจจะออกไปไกลถึงอวกาศ และภายในไม่กี่นาที คลื่นกระแทกที่มีความรุนแรงก็ได้แผ่ไปทั่วโลก
เกิดแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงระดับ 11 แมกนิจูด และคลื่นกระแทกจากการระเบิดก็ได้แผ่ออกไปด้วยความเร็วกว่า 1,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจากศูนย์กลาง ทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้า
เกิดคลื่นสึนามิที่มีความสูงกว่า 1.5 กิโลเมตร สูงกว่าตึกสูงทุกตึกที่เคยมีมา และคลื่นก็มุ่งไปยังทุกทิศ
คลื่นยักษ์ปะทะทุกดินแดน ทำลายล้างดินแดนต่างๆ นับพันกิโลเมตร หากเป็นปัจจุบัน คลื่นนี้จะสามารถทำให้ทวีปทั้งทวีปหายไปได้ในพริบตา
สำหรับเศษเปลือกโลกและก้อนหินที่กระเด็นขึ้นไปยังอวกาศที่ผมเล่าไปก่อนหน้านั้น หลายส่วนได้พุ่งไปไกลถึงดวงจันทร์ บ้างก็โคจรรอบโลกและเป็นเช่นนั้นนับพันปี หากแต่ส่วนมากได้ตกลงกลับสู่ชั้นบรรยากาศโลก ซึ่งวัตถุเหล่านี้เรียกว่า "อุลกมณี (Tektite)"
อุลกมณีหลายชิ้นมีขนาดใหญ่กว่ารถบรรทุก บางชิ้นก็เล็กเท่าก้อนกรวด โดยขณะที่อุลกมณีเหล่านี้พุ่งกลับสู่พื้นโลกนั้น ก็ได้พุ่งด้วยความเร็วระหว่าง 160-320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งด้วยความเร็วขนาดนี้ ทำให้วัตถุเหล่านี้มีความร้อนสูงนับร้อยองศาเซลเซียส
และลองจินตนาการถึงเศษก้อนกรวดหรืออุลกมณีนับล้านตันที่พุ่งด้วยความเร็วสูงกลับสู่พื้นโลกผ่านชั้นบรรยากาศสิครับ สิ่งที่ตามมาคือหายนะ
อากาศบนโลกนั้นร้อนระอุราวกับเตาอบ อุณหภูมิสูงเกือบ 1,500 องศาเซลเซียส ทำให้สิ่งมีชีวิตทุกอย่างตายในทันที
อุณหภูมิที่ร้อนระอุบวกกับอุลกมณีจำนวนมหาศาลที่ตกสู่พื้นโลก ทำให้ทั่วโลกนั้นมอดไหม้ ไฟไหม้ในหลายๆ พื้นที่ดำเนินไปเป็นระยะเวลาหลายเดือน ทำให้โลกกลายเป็นลูกไฟขนาดใหญ่
และความรุนแรงยังไม่หมด แรงกระแทกของอุกกาบาตทำให้ซัลเฟอร์และน้ำนับล้านล้านแกลลอนพุ่งขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ เกิดเป็นพายุใหญ่ เป็นฝนกรดตกสู่พื้นโลกและท้องทะเล ทำให้สัตว์น้ำทุกชนิดตายในทันที และน้ำมันจากชั้นหินที่พุ่งสู่ชั้นบรรยากาศก็ทำให้ท้องฟ้านั้นมืดสนิท พืชทุกชนิดล้วนแต่สูญสิ้น
จากนั้น สิ่งที่ตามมาก็คืออุณหภูมิที่ลดต่ำลงอย่างกะทันหัน อุณหภูมิจากร้อนระอุก็กลายเป็นหนาวเหน็บ สายพันธุ์สิ่งมีชีวิตต่างๆ กว่า 75% สูญพันธุ์ไปในทันที รวมทั้งสายพันธุ์ไดโนเสาร์ที่สูญพันธุ์ไปจนไม่เหลือ
ภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง โลกก็เปลี่ยนไปตลอดกาล
เรื่องของวันที่เกิดเหตุที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์นั้นอาจจะฟังดูน่ากลัว โลกดูราวกับนรก
แต่หากไม่เกิดเหตุการณ์นี้ โลกก็อาจจะไม่เหมือนเช่นปัจจุบัน ปัจจุบันอาจจะไม่มีมนุษย์ อารยธรรมต่างๆ ก็คงไม่ได้เกิด
สำหรับในอนาคต อนาคตของมนุษยชาติจะซ้ำรอยกับเหตุการณ์การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์หรือไม่
คงมีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะตอบได้
References :
- https://medium.com/lessons-from-history/what-happened-immediately-after-the-dinosaurs-died-e9af13b38fa8
- https://www.nhm.ac.uk/discover/how-an-asteroid-caused-extinction-of-dinosaurs.html
- https://www.nationalgeographic.com/animals/article/what-happened-day-dinosaurs-died-chicxulub-drilling-asteroid-science
- https://www.smithsonianmag.com/science-nature/what-happened-seconds-hours-weeks-after-dino-killing-asteroid-hit-earth-180960032/
Kapook Creator เป็นเนื้อหาที่นำเสนอโดยผู้สร้างสรรค์ที่เข้าร่วมโครงการ หากพบเนื้อหาที่ท่านเห็นว่าไม่ถูกต้องตามกติกา สามารถคลิกแจ้งปัญหาได้ที่นี่