สงครามนิวเคลียร์ระหว่าง 2 นักวิทยาศาสตร์ผู้ปราดเปรื่อง
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นักวิทยาศาสตร์ที่โดดเด่นที่สุดในช่วงสงคราม เห็นจะไม่พ้นสองท่านนี้
"แวร์เนอร์ ไฮเซินแบร์ค (Werner Heisenberg)" และ "เจ. โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ (J. Robert Oppenheimer)"
ทั้งไฮเซินแบร์คและออปเพนไฮเมอร์มีส่วนสำคัญในการแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์ และเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เข้มข้นที่สุดช่วงเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์
ไฮเซินแบร์คเป็นชาวเยอรมัน ส่วนออปเพนไฮเมอร์นั้นมาจากสหรัฐอเมริกา และต่างก็เชื่อในศักยภาพของฟิสิกส์ควอนตัม อีกทั้งยังเห็นตรงกันว่าสิ่งนี้สามารถเปลี่ยนโลกได้ หากแต่เส้นทางของทั้งสองนั้นแตกต่างกัน

ภาพจาก : MM memo / Shutterstock.com
ไฮเซินแบร์คตั้งใจจะใช้ความรู้ของตนช่วยเหลือประเทศชาติด้วยการสร้างระเบิดนิวเคลียร์ ในขณะที่ออปเพนไฮเมอร์ได้รับงานสำคัญ นั่นคือการสร้างอาวุธที่มีความร้ายแรงสูงและทำให้สงครามจบลง
นักวิทยาศาสตร์ทั้งคู่ต่างเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 รวมทั้งอนาคตของพลังงานนิวเคลียร์
มาดูกันที่เรื่องราวของไฮเซินแบร์ค เขาเกิดในวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ.1901 (พ.ศ.2444) ที่เยอรมนี โดยเขาเป็นเด็กที่สงสัยใคร่รู้ ชอบที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มาตั้งแต่ยังเยาว์ และเป็นเด็กหัวกะทิคนหนึ่ง

ภาพจาก : Mirt Alexander / Shutterstock.com
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ไฮเซินแบร์คเดินทางไปสหรัฐอเมริกา โดยเขามาประชุมเรื่องของพลังงานนิวเคลียร์และสามารถจะหลบภัยสงครามมาอยู่สหรัฐอเมริกาเลยก็ได้ หากแต่ก็ตัดสินใจจะกลับไปยังเยอรมนี
ในงานสัมมนาที่สวิตเซอร์แลนด์ ไฮเซินแบร์คได้พูดเรื่องต่างๆ ที่กำลังทำ ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรพอจะได้ข้อมูลระแคะระคายว่าเยอรมนีกำลังจะทำอะไร ทางซีไอเอ (CIA) จึงส่งสายลับที่ชื่อ "โม เบิร์ก (Moe Berg)" ซึ่งสามารถพูดภาษาเยอรมันได้เข้าฟัง และสืบเรื่องนี้
เบิร์กต้องสืบให้รู้ว่าโครงการระเบิดปรมาณูของไฮเซินแบร์คนั้นคืบหน้าไปถึงไหน และให้สังหารไฮเซินแบร์คซะ
แต่หลังจากฟังที่ไฮเซินแบร์คพูด เบิร์กก็คิดว่าฝั่งเยอรมนียังไปไม่ถึงไหน ไม่น่าจะสร้างระเบิดปรมาณูได้ในเร็ววัน จึงตัดสินใจไม่สังหารไฮเซินแบร์ค
ทางด้านออปเพนไฮเมอร์ เขาเกิดในวันที่ 22 เมษายน ค.ศ.1904 (พ.ศ.2447) ที่สหรัฐอเมริกา และได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ก่อนจะตกหลุมรักกับเรื่องราวของฟิสิกส์ควอนตัม และเดินทางไปทำวิจัยที่ยุโรป
ช่วงเวลาสำคัญของออปเพนไฮเมอร์มาถึงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเขาถูกเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญที่สุดแห่งยุค

ภาพจาก : Prachaya Roekdeethaweesab / Shutterstock.com
นั่นคือ "โครงการแมนแฮตตัน (Manhattan Project)"
ในโครงการแมนฮัตตัน บทบาทของออปเพนไฮเมอร์ไม่ใช่เป็นเพียงนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งเท่านั้น หากแต่ต้องเป็นผู้นำบุคลากรในโครงการหลายๆ ส่วน ทั้งนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และบุคลากรต่างๆ โดยออปเพนไฮเมอร์ต้องแก้ปัญหาหลายๆ อย่างที่ยุ่งยาก
ทีมของออปเพนไฮเมอร์ต้องหาแร่ยูเรเนียมมาให้ได้จำนวนมากโดยไม่ให้ฝ่ายศัตรูรู้ ก่อนที่จะค้นพบในเวลาต่อมาว่าแร่อีกชนิดหนึ่ง ชื่อว่า "พลูโตเนียม (Plutonium)" ก็สามารถนำมาใช้ผลิตระเบิดได้เช่นกัน
หากแต่พลูโตเนียมนั้นเป็นสิ่งที่ท้าทายยิ่งกว่ายูเรเนียมซะอีก แต่ออปเพนไฮเมอร์ก็ไม่ยอมแพ้ เขาจำได้ว่าในงานวิจัยแรกๆ ของเขาเรื่องหลุมดำอาจจะมีข้อมูลบางอย่างที่เอามาใช้ได้
ในที่สุด ออปเพนไฮเมอร์และทีมงานก็ทำในสิ่งที่คนจำนวนมากคิดว่าเป็นไปไม่ได้ นั่นคือการสร้าง "ระเบิดปรมาณู" ซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงที่มีบทบาทสำคัญในการทำให้สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด
หากแต่สำหรับออปเพนไฮเมอร์ นี่เป็นชัยชนะที่ขมขื่น

เขารู้สึกยินดีที่สงครามจบลง แต่ก็เสียใจที่ผู้คนจำนวนมากต้องเสียชีวิตเพราะระเบิดปรมาณู และเขาก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ระเบิดนี้เกิดขึ้น
ทางด้านไฮเซินแบร์ค ก็ทำงานอย่างหนักเพื่อคิดค้นเรื่องระเบิด และทำงานต่อไปจนสงครามสิ้นสุดลง
เมื่อถึงปีค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) สถานการณ์ฝ่ายเยอรมนีนั้นกำลังเริ่มจะแย่ ศัตรูเริ่มได้ชัยในหลายๆ พื้นที่ ชาวเยอรมันต่างเคร่งเครียด หากแต่ไฮเซินแบร์คก็ยังคงทำงานต่อไปโดยหวังว่าสถานการณ์ฝั่งเยอรมนีจะกลับมาดี
ทางด้านสหรัฐอเมริกา โครงการแมนฮัตตันภายใต้การนำของออปเพนไฮเมอร์กำลังก้าวหน้าไปได้ดีเรื่อยๆ และใกล้จะสามารถสร้างอาวุธร้ายแรงที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้สำเร็จ
เมื่อถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรกำลังไล่ต้อนเยอรมนีมาติดๆ และสามารถจับกุมไฮเซินแบร์คและทีมนักวิทยาศาสตร์เยอรมันไว้ได้ ทำให้การสร้างระเบิดฝั่งเยอรมนีต้องสิ้นสุดลง ก่อนที่ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) สหรัฐอเมริกาก็ประสบความสำเร็จในการทดสอบระเบิดปรมาณูลูกแรก
ระเบิดปรมาณูที่ทำการทดลองนั้นประกอบไปด้วยพลูโตเนียมจำนวนมาก และการทดลองนี้ก็ประสบความสำเร็จอย่างดี ระเบิดนั้นร้ายแรง ทำให้เกิดลูกไฟขนาดมหึมา ความรุนแรงเทียบเท่าระเบิดทีเอ็นทีกว่า 20,000 ตัน
เรียกได้ว่านี่คือสิ่งที่โลกไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ไม่กี่สัปดาห์หลังการทดสอบ สหรัฐอเมริกาก็ได้นำอาวุธใหม่นี้มาใช้ โดยมีการปล่อยระเบิดปรมาณูลงยังเมืองฮิโรชิม่า ประเทศญี่ปุ่น และปล่อยลูกที่สองลงยังเมืองนางาซากิ สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นวงกว้าง
ระเบิดปรมาณูนี้ทำให้โลกเห็นความร้ายแรงของอาวุธชนิดใหม่ และทำให้โลกเข้าสู่ยุคนิวเคลียร์อย่างแท้จริง และบุคคลที่ต้องยกเครดิตให้ ก็คงไม่พ้นออปเพนไฮเมอร์
ภายหลังสงครามสิ้นสุดลง ทั้งออปเพนไฮเมอร์และไฮเซินแบร์คก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ หากแต่เงาทะมึนในงานที่ผ่านมายังคงติดตามทั้งสอง
ไฮเซินแบร์คกลับไปยังเยอรมนีเพื่อช่วยในการฟื้นฟูประเทศ และยังคงทำงานทางด้านวิทยาศาสตร์ต่อไป ในขณะที่ออปเพนไฮเมอร์มีความรู้สึกหนักอึ้งในใจ
เขารู้สึกภูมิใจในความสำเร็จของตน แต่ก็ถูกหลอกหลอนจากความสูญเสียที่เกิดขึ้น
เขาได้รับการขนานนามว่า "บิดาแห่งระเบิดปรมาณู" หากแต่นามนี้ก็เป็นสิ่งที่หนักอึ้งอยู่ในใจของเขา
เรื่องราวของสองนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่แสดงให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์สามารถเปลี่ยนโลกไปได้มากขนาดไหน และผลของมันก็ยังเป็นที่จดจำจนถึงทุกวันนี้
References:
- https://medium.com/lessons-from-history/the-nuclear-race-a-story-of-two-scientists-40427db2b102
- https://www.documentarytube.com/videos/oppenheimer-vs-heisenberg-battle-between-2-genius-american-genius/
- https://www.dexerto.com/tv-movies/oppenheimer-who-is-werner-heisenberg-2224270/
- https://www.iwm.org.uk/history/oppenheimer-and-the-race-to-build-the-atomic-bomb
Kapook Creator เป็นเนื้อหาที่นำเสนอโดยผู้สร้างสรรค์ที่เข้าร่วมโครงการ หากพบเนื้อหาที่ท่านเห็นว่าไม่ถูกต้องตามกติกา สามารถคลิกแจ้งปัญหาได้ที่นี่