วัยเด็กที่ไม่น่าพิศมัยและเส้นทางสู่ความสำเร็จของ “อีลอน มัสก์ (Elon Musk)”
เชื่อว่าปัจจุบัน ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก “อีลอน มัสก์ (Elon Musk)”
เขาเป็นมหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจเทคโนโลยีชั้นนำของโลก และเป็นบุคคลที่รวยเป็นอันดับหนึ่งของโลกในปีค.ศ.2023 (พ.ศ.2566) และในปีนี้ (ค.ศ.2024) เดือนมีนาคม เขาเป็นคนที่รวยเป็นอันดับสองของโลก
หากแต่ชีวิตวัยเด็กของมัสก์นั้นไม่ได้ห้อมล้อมด้วยความสำเร็จหรือโรยด้วยกลีบกุหลาบ หากแต่เต็มไปด้วยความท้าทายและความเปลี่ยวเหงา อีกทั้งเขายังเป็น Asperger Syndrome ซึ่งเป็นความบกพร่องด้านพัฒนาการทางระบบประสาทที่มักเกิดในเด็ก โดยจัดอยู่ในกลุ่มอาการเดียวกับออทิสติก ซึ่งจะส่งผลต่อพฤติกรรม การใช้ภาษา การสื่อสาร และการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับคนในสังคม
ด้วย Asperger Syndrome นี้เอง ทำให้การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในสังคมเป็นเรื่องยากสำหรับมัสก์ ทำให้ผู้คนมักจะเข้าใจเขาผิด และทำให้ชีวิตช่วงต้นของเขานั้นเต็มไปด้วยความเหงา ไม่มีเพื่อนมากนัก
มัสก์นั้นเกิดในปีค.ศ.1971 (พ.ศ.2514) ที่แอฟริกาใต้ และเป็นเด็กที่เปลี่ยวเหงามาตั้งแต่เด็ก
สาเหตุที่เขาไม่มีเพื่อนมากนักก็เนื่องมาจากอาการของ Asperger Syndrome ซึ่งอาการนี้ก็นับเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับมัสก์ ทำให้การเข้าสังคมเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ทำให้การจะสร้างมิตรภาพหรือมีเพื่อนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก
แต่ถึงแม้จะประสบกับปัญหานี้ มัสก์ก็ยังสามารถหาความสุขได้ โดยเขาหันหน้าเข้าสู่โลกของหนังสือและการ์ตูน ซึ่งทำให้เขาสามารถหลุดออกจากโลกแห่งความจริง โดยเรื่องราวที่เขาโปรดปรานก็คือเรื่องของฮีโร่ที่ต่อสู้เพื่อพิทักษ์โลก ซึ่งแนวคิดนี้ก็ฝังแน่นอยู่กับเขามาโดยตลอด
และด้วยนิสัยรักการอ่าน ทำให้มัสก์ขยายขอบเขตไปสู่หนังสือประเภทอื่นๆ ทำให้เขาได้รับความรู้ในศาสตร์หลายด้าน ซึ่งความรอบรู้นี้ก็จะมีประโยชน์ต่อมัสก์ในเวลาต่อมา
และด้วยความที่รักการอ่านและใฝ่รู้ ทำให้มัสก์นั้นใฝ่หาคำตอบของปัญหาต่างๆ เขาไม่พอใจกับคำตอบง่ายๆ สั้นๆ โดยตั้งแต่เด็ก เขาก็มักจะถามคำถามกับพ่อเกี่ยวกับจักรวาล สงสัยว่าที่ยืนของมนุษย์ในจักรวาลนั้นอยู่แห่งใด
ความสงสัยใคร่รู้นี้จะเป็นหนึ่งในพื้นฐานที่ทำให้มัสก์ประสบความสำเร็จและสร้างสิ่งใหม่ๆ ในเวลาต่อมา
แต่นอกเหนือจากปัญหาความเหงา ไม่ค่อยมีเพื่อนแล้วนั้น มัสก์ยังเป็นเด็กที่โดนบูลลี่ตั้งแต่ยังเด็ก
ในช่วงที่เป็นนักเรียน มัสก์นั้นเป็นเป้าการถูกบูลลี่รังแก โดยมัสก์เคยเล่าว่าขณะศึกษาอยู่เกรดแปดหรือเกรดเก้า (อายุประมาณ 13-15 ปี) เขาถูกกลุ่มเด็กเกเรในโรงเรียนรุมซ้อม และซ้อมหนักจนเขาหมดสติ จมูกก็หัก จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด
และการบูลลี่ก็ไม่เพียงแค่การทำร้ายร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงด้านจิตใจด้วย โดยเหล่าเด็กเกเรก็ทำให้มัสก์กับเพื่อนสนิทต้องแตกคอกัน ทำให้มัสก์รู้สึกเจ็บและรู้สึกว่าถูกหักหลัง
และปัญหายังไม่หมด นอกจากปัญหาเรื่องอาการ Asperger Syndrome และการบูลลี่ที่โรงเรียนแล้ว ปัญหาในครอบครัวของมัสก์ก็มี
พ่อแม่ของมัสก์หย่าร้างกันขณะมัสก์มีอายุเพียงแปดขวบ และมัสก์ก็ต้องอยู่ในความดูแลของผู้เป็นแม่เพียงลำพัง และถึงแม้ผู้เป็นแม่จะทำงานหนักเพียงใด แต่เงินก็มักจะไม่พอ ชักหน้าไม่ถึงหลัง ยังต้องอดมื้อกินมื้อและประหยัดถึงขีดสุด
ในเวลาต่อมา มัสก์ตัดสินใจจะไปใช้ชีวิตอยู่กับพ่อซักระยะหนึ่ง หากแต่ความสัมพันธ์ระหว่างมัสก์กับพ่อก็ไม่ค่อยดีนัก โดยมัสก์เคยกล่าวว่าพ่อของเขาเป็นคนที่เข้าถึงยาก
และสำหรับความสนใจในเรื่องของเทคโนโลยีและจักรวาลนั้น สามารถย้อนกลับไปได้ตั้งแต่สมัยวัยเด็ก และมัสก์ก็พบว่าตนนั้นรู้สึกสบายใจและเป็นตัวของตัวเองเมื่อเข้าสู่โลกของคอมพิวเตอร์และอวกาศ
เมื่ออายุได้ 12 ปี มัสก์ก็ได้ก้าวล้ำไปเหนือเด็กวัยเดียวกันด้วยการสร้างวีดีโอเกมส์ที่มีชื่อว่า “Blastar” และขายเกมส์นี้ไปด้วยราคา 500 ดอลลาร์ (ประมาณ 17,800 บาท) ทำให้มัสก์เข้าสู่โลกของผู้ประกอบการเป็นครั้งแรก
ความสนใจในเรื่องราวของอวกาศนั้น สำหรับมัสก์ นี่คือสิ่งที่เขาสนใจและต้องการจะศึกษาอย่างลงลึก ความสงสัยเกี่ยวกับจักรวาลและอวกาศนั้นติดอยู่กับตัวมัสก์ตั้งแต่เขาอายุเพียงแค่สามหรือสี่ขวบเท่านั้น
ความสงสัยใคร่รู้นี้ไม่ได้จำกัดเพียงแค่เรื่องราวของวิทยาศาสตร์อวกาศเท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึงวิทยาศาสตร์ด้านอื่นๆ และปรัชญา และคำถามมากมายที่อยู่ในหัวก็ทำให้มัสก์ยิ่งสนใจที่จะอ่านบันทึกทางศาสนาต่างๆ รวมถึงหลักปรัชญา เฝ้าค้นหาความหมายของชีวิตและจักรวาล และสิ่งที่มัสก์ได้ ก็คือการเรียนรู้ถึงความสำคัญของการตั้งคำถามที่ถูกต้อง ซึ่งการตั้งคำถามที่ถูกต้องนี้เองจะเป็นสิ่งที่นำมาสู่ความสำเร็จและนวัตกรรมใหม่ๆ ในเวลาต่อมา
อาจจะต้องเรียกว่าอุปสรรคต่างๆ ในวัยเด็กของมัสก์นั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มัสก์เติบโตและพัฒนาตัวเอง
เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เมื่ออายุได้ 16 ปี ร่างกายของมัสก์ก็ได้เปลี่ยนแปลงไป โดยเมื่อมีอายุ 16 ปี เขาก็มีส่วนสูงถึงหกฟุต (183 เซนติเมตร) ก่อนจะมีส่วนสูงไปถึงหกฟุตสองนิ้ว (188 เซนติเมตร) ร่างกายกำยำ และทำให้มัสก์คิดที่จะป้องกันตัวเองจากเหล่าบูลลี่
มัสก์เริ่มเรียนศิลปะการป้องกันตัว ทั้งคาราเต้ ยูโด และมวยปล้ำ ซึ่งนอกจากจะทำให้เขาสามารถป้องกันตัวได้แล้ว ยังทำให้เขามีความมั่นใจและรู้สึกดีกับตนเองมากขึ้น
และจุดเปลี่ยนก็มาถึง เมื่อมัสก์ได้เผชิญหน้ากับเด็กที่เกเรที่สุดในโรงเรียน และด้วยการชกเพียงหมัดเดียว ก็ทำให้ทุกคนตระหนักว่าเขาไม่ใช่เป้าในการกลั่นแกล้งได้ง่ายๆ อีกต่อไป
การโต้กลับของมัสก์มาจากความมุ่งมั่นลึกๆ ภายในใจ ซึ่งจะเป็นจุดเด่นหนึ่งในเวลาต่อมาของเขา นั่นคือการไม่กลัวความท้าทายใหม่ๆ และเชื่อว่าทุกสิ่งสามารถเป็นจริงได้
เมื่ออายุได้ 17 ปี มัสก์ก็ได้ตัดสินใจย้ายจากแอฟริกาใต้ไปสหรัฐอเมริกา และเต็มไปด้วยความฝันที่ยิ่งใหญ่
จุดหมายแรกคือแคนาดา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผู้เป็นแม่ และแคนาดาก็เป็นก้าวแรกก่อนไปสู่สหรัฐอเมริกา ซึ่งการย้ายที่อยู่นี้เองก็มาจากแนวคิดของมัสก์ที่ว่าสหรัฐอเมริกาคือดินแดนแห่งโอกาส ที่ที่เปิดรับและให้การยอมรับต่อการทำงานหนักและแนวคิดใหม่ๆ
มัสก์ได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัย “Queen’s University” ในออนตาริโอ แคนาดา หากแต่ในใจของมัสก์ก็รู้ดีว่าแผนการใหญ่ของมัสก์นั้นไม่ใช่ที่แคนาดา แต่คือสหรัฐอเมริกา
ดังนั้น หลังจากศึกษาอยู่ที่แคนาดาได้สองปี มัสก์ก็ได้ตัดสินใจย้ายไปศึกษายัง “University of Pennsylvania” สหรัฐอเมริกา ซึ่งการย้ายมานี้เองทำให้มัสก์ได้เข้ามาใกล้กับใจกลางศูนย์เทคโนโลยีและการเป็นผู้ประกอบการ
แต่การย้ายไปสหรัฐอเมริกาของมัสก์ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอุปสรรคและความท้าทาย พ่อของมัสก์ก็ไม่เห็นด้วยและไม่แน่ใจว่ามัสก์จะไปรอด แต่ถึงอย่างนั้น มัสก์ก็มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าตนต้องประสบความสำเร็จ
มัสก์นั้นมีวิสัยทัศน์ มองเห็นโอกาสในอนาคตของพลังงานหมุนเวียนและการสำรวจอวกาศ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มัสก์มองว่าคืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต
มัสก์นั้นได้รับปริญญาทั้งด้านฟิสิกส์และเศรษฐศาสตร์ หากแต่ปริญญานี้ก็ไม่สำคัญเลยเมื่อเทียบกับความเข้าใจในหลักการของจักรวาลและนำมาปรับใช้ในการแก้ปัญหาของมัสก์
และเมื่อเปลี่ยนสถานะจากนักศึกษาเป็นผู้ประกอบการ ประสบการณ์ในฐานะของผู้อพยพเข้าสหรัฐอเมริกาก็ทำให้เขาเข้าใจในการทำงานหนักและความสำคัญของนวัตกรรม และสหรัฐอเมริกาก็คือเวทีสำคัญที่มัสก์จะก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ระดับโลก
การลงทุนครั้งใหญ่ครั้งแรกของมัสก์ก็คือ “Zip2” ซึ่งเป็นธุรกิจในการจัดหารายนามธุรกิจและแผนที่สำหรับหนังสือพิมพ์ และความสำเร็จของ Zip2 ก็ทำให้มัสก์มีเงินทุนมากพอในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
มัสก์ร่วมก่อตั้ง “X.com” ด้วยเงินทุนที่ได้จาก Zip2 ซึ่ง X.com นี้ ต่อมาก็ได้กลายเป็น “PayPal” ซึ่งเป็นผู้ให้บริการจ่ายเงินบนอินเตอร์เน็ตระดับโลก ซึ่งต่อมา ก็ได้ขาย PayPal แก่ eBay ไป ได้เงินมากว่า 1,500 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 53,700 ล้านบาท) ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอาชีพการงานของมัสก์ ทำให้เขามีทั้งเงินทุนและเครดิต ทำให้การต่อยอดสู่โครงการสำรวจอวกาศและพลังงานหมุนเวียนเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น
“SpaceX” ซึ่งก่อตั้งในปีค.ศ.2002 (พ.ศ.2545) เกิดมาจากความหลงใหลในอวกาศของมัสก์และความเชื่อว่ามนุษย์ควรจะต้องสำรวจดาวดวงอื่น
SpaceX ของมัสก์ก็พบเจอกับความท้าทายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความไม่พร้อมในด้านต่างๆ และการวิพากษ์วิจารณ์จากอุตสาหกรรมอวกาศ หากแต่ความเชื่อมั่นของมัสก์ที่มีต่อ SpaceX ก็ไม่เคยจางลง
และนอกจากธุรกิจด้านอวกาศแล้ว มัสก์ยังหันเหความสนใจไปสู่ธุรกิจยานยนต์ มุ่งไปยังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยมัสก์ได้เป็นซีอีโอบริษัท “Tesla Motors (TSLA)”
ภายใต้การบริหารของมัสก์ Tesla ก็กลายเป็นบริษัทดังและเปลี่ยนธุรกิจยานยนต์แบบเดิม ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง
นี่ก็คือเรื่องราวอุปสรรคและความมุ่งมั่นของมัสก์ ซึ่งก็มีหลายแง่มุมให้คิดและนำไปปรับใช้ได้ในอนาคต
References:
ต้นฉบับ:
Kapook Creator เป็นเนื้อหาที่นำเสนอโดยผู้สร้างสรรค์ที่เข้าร่วมโครงการ หากพบเนื้อหาที่ท่านเห็นว่าไม่ถูกต้องตามกติกา สามารถคลิกแจ้งปัญหาได้ที่นี่