เปิดร่องรอยปริศนาที่ชวนให้ขบคิด หรือการเดินทางข้ามเวลาจะมีอยู่จริง ?!

ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา

เพจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์น่ารู้ต่างๆ ทั่วโลก เพราะประวัติศาสตร์จะไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป

          หลักฐานในอดีตที่บ่งบอกถึงการเดินทางข้ามเวลา หรือ “การเดินทางข้ามเวลา” จะมีจริง?
การเดินทางข้ามเวลา

          “การเดินทางข้ามเวลา” เป็นปริศนาที่หลายคนสงสัยใคร่รู้ ต้องการจะหาคำตอบว่าทำได้จริงหรือไม่ หากแต่ก็ยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดที่บ่งบอกถึงการเดินทางข้ามเวลาได้เลย
          “เวลา” คือสิ่งที่แน่นอน ในทุกๆ วัน ทุกคนนั้นเดินทางเคียงคู่ไปกับเวลา หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เราทุกคนเดินทางเป็นเส้นตรงไปยังอนาคต
          แต่การเดินทางกลับไปยังอดีตนั้นเป็นเรื่องที่ต้องนำมาถกเถียงกันยาว นักฟิสิกส์บางคนก็คิดว่าการเดินทางข้ามยุคสมัยนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้หากแต่ไม่สามารถทำได้จริง
          หากให้ยกตัวอย่าง “ชาราห์ สโคลส์ (Sarah Scoles)” นักเขียนเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ก็ได้เคยกล่าวว่า
          “การย้อนกลับไปยังอดีตนั้นยากกว่าการถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ในหลุมดำซะอีก”
          แต่ถึงอย่างนั้น นักฟิสิกส์หลายคนก็คิดว่าการเดินทางย้อนอดีตนั้นสามารถทำได้จริง และก็ได้มีทฤษฎีต่างๆ มากมาย
          แต่ก่อนอื่น เราลองมาดูหลักฐานจากอดีตที่อาจจะเกี่ยวข้องหรือบ่งชี้กับการเดินทางข้ามเวลากันก่อนดีกว่าครับ
          เริ่มจากชิ้นแรก “แผนที่ปีรีรีส (Piri Reis Map)”
          หลักฐานชิ้นแรกคือเศษแผนที่ที่ถูกวาดลงบนหนังละมั่ง โดยผู้วาดคือทหารเรือชาวตุรกี
          แผนที่ปีรีรีสนั้นทำให้หลายคนสนใจ เนื่องจากแผนที่นี้แสดงให้เห็นรายละเอียดของขั้วโลกใต้
          ถามว่ามันแปลกยังไง? ที่แปลกก็คือ แผนที่นี้ถูกวาดขึ้นในปีค.ศ.1513 (พ.ศ.2056) แต่กว่า “ชาร์ลส์ วิลค์ส (Charles Wilkes)” ทหารเรือชาวอเมริกัน จะทำการสำรวจขั้วโลกใต้ ก็คือปีค.ศ.1840 (พ.ศ.2383) หรือกว่า 300 ปีหลังจากที่มีการจัดทำแผนที่ปีรีรีส
          และจากการตรวจสอบ พบว่ารายละเอียดบนแผนที่ปีรีรีสนั้นมีรายละเอียดเกี่ยวกับอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมาก
          แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีข้อสังเกตว่าแผนที่นี้ก็ยังไม่ถูกซะทีเดียว เช่น บนแผนที่นั้นแสดงให้เห็นว่าขั้วโลกใต้นั้นเป็นดินแดนที่ปราศจากน้ำแข็ง และเกาะในแคริบเบียนบางเกาะก็หายไป
          ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าเหตุใดจึงมีการจัดทำแผนที่ปีรีรีสขึ้น กองทัพอ็อตโตมันก็ไม่ได้ประจำการในแถบขั้วโลกใต้ และแผนที่ปีรีรีสก็ถูกลืมเป็นเวลานานกว่า 400 ปี จนกระทั่งมีการค้นพบแผนที่นี้ในพระราชวังในอิสตันบูลเมื่อปีค.ศ.1929 (พ.ศ.2472)
          รายละเอียดเกี่ยวกับแผนที่ปีรีรีสนั้นมีอยู่ไม่มากนัก เนื่องจากที่หลงเหลือมาก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของแผนที่ทั้งแผ่น หากแต่เศษเสี้ยวที่ได้มานั้นก็ทำให้จินตนาการของหลายๆ คนแล่นไปไกล และทำให้เกิดการคาดเดาไปต่างๆ นานา
          บางคนก็คิดว่าแผนที่ปีรีรีสมีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว บางคนก็คิดว่าแผนที่ปีรีรีสคือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าในอดีตนั้นมีอารยธรรมโบราณที่ก้าวล้ำเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด
          หลายคนที่เชื่อถือในเรื่องการเดินทางข้ามเวลาก็อาจจะสามารถแย้งข้อสงสัยที่ว่าทำไมขั้วโลกใต้บนแผนที่นั้นปราศจากน้ำแข็ง โดยอาจจะอ้างว่าแผนที่นี้ทำนายถึงอนาคตที่ขั้วโลกใต้ไร้น้ำแข็งแล้วเนื่องจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น ซึ่งในปัจจุบัน แผ่นน้ำแข็งในขั้วโลกใต้ก็กำลังละลายจริงๆ
          แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องของแผนที่ปริศนานี้ก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงและยังไม่สามารถสรุปอะไรได้อย่างแน่นอน
          ข้ามมาในช่วงของสงครามโลกครั้งที่ 2 (WWII) ซึ่งเป็นมหาสงครามครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ก็ได้มีเรื่องเล่าที่ฟังดูแปลกประหลาดเช่นกัน
          ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นักบินอเมริกันหลายนายได้รายงานว่าพบเห็นแสงประหลาดอยู่เหนือน่านฟ้าเยอรมนี โดยแสงเหล่านี้ไม่ปรากฏบนเรดาร์
          นอกจากนั้น ยังมีรายงานการพบเห็นวัตถุประหลาดรูปร่างคล้ายบุหรี่ มีแสงสีแดงออกมาจากตัว บินอยู่ข้างๆ เครื่องบินอเมริกัน
          ในทีแรก ฝ่ายอเมริกันคิดว่านั่นอาจจะเป็นอาวุธชนิดใหม่ของฝ่ายเยอรมนี หากแต่เมื่อสงครามจบลง จากการตรวจสอบของฝ่ายอเมริกัน กลับไม่พบหลักฐานที่บ่งบอกถึงการมีอาวุธลับนั้นอยู่เลย
          นั่นทำให้หลายคนคิดว่าบางที แสงประหลาดนั้นอาจจะเป็นมนุษย์ต่างดาว แต่อีกหลายคนก็คิดว่านั่นอาจจะเป็นนักเดินทางข้ามเวลา ข้ามเวลามาเพื่อสังเกตการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2
          คำถามต่อมา “มีใครเคยถ่ายภาพนักเดินทางข้ามเวลาไว้ได้หรือไม่?”
          การถ่ายรูปนั้นได้ถูกพัฒนาขึ้นในปีค.ศ.1822 (พ.ศ.2365) เท่ากับว่าการถ่ายภาพนั้นก็อยู่คู่กับมนุษย์มาเป็นเวลาประมาณ 200 ปี และผู้ที่เชื่อเรื่องการเดินทางข้ามเวลาบางคนก็เชื่อว่าตนนั้นพบเจอหลักฐานบางอย่างในภาพถ่ายเก่าๆ
          “จอร์จ คลาร์ก (George Clarke)” ผู้กำกับและนักสร้างภาพยนตร์อินดี้ชาวไอร์แลนด์ ได้พบเจอภาพถ่ายที่เขาคิดว่าดูแปลก มาจากภาพยนตร์ในปีค.ศ.1928 (พ.ศ.2471) เรื่อง “The Circus” นำแสดงโดย “ชาร์ลี แชปลิน (Charlie Chaplin)”
          คลาร์กได้กล่าวอ้างว่าจากภาพนั้น ได้มีสตรีที่อยู่นอกโรงภาพยนตร์ในฮอลลีวู้ดกำลังพูดคุยกับโทรศัพท์มือถือ อีกทั้งในฟุตเทจเบื้องหลังการถ่ายทำ ยังมีภาพโทรศัพท์มือถืออีกด้วย
          แต่หากคำกล่าวอ้างของคลาร์กเป็นจริง ก็น่าแปลก เนื่องจากกว่าจะมีการวางจำหน่ายโทรศัพท์มือถือแก่สาธารณชนก็คือยุค 80 (พ.ศ.2523-2532) แล้ว ดังนั้นในยุค 20 (พ.ศ.2463-2472) จึงยังไม่มีบริษัทผู้ให้บริการระบบเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์มือถือแน่นอน
          หลายคนที่ไม่เชื่อคลาร์ก ก็คิดว่าหญิงที่เห็นนั้น แท้จริงไม่ได้กำลังพูดกับโทรศัพท์มือถือ หากแต่เป็นเครื่องที่ช่วยในการได้ยินซึ่งถูกประดิษฐ์ขึ้นในช่วงเวลานั้น
          หากแต่ประเด็นเรื่องการพบเจอโทรศัพท์มือถือในยุคเก่ายังไม่หมดเพียงแค่เท่านั้น
          “Mr. Pynchon and the Settling of Springfield” คือภาพวาดฝีมือ “อัมเบอร์โต โรมาโน (Umberto Romano)” ศิลปินชาวอิตาลีซึ่งวาดไว้ในปีค.ศ.1937 (พ.ศ.2480) ก็กลายเป็นประเด็นเมื่อมีคนสังเกตบางสิ่งคล้ายโทรศัพท์มือถือในภาพวาด
          หากสังเกตชายชาวพื้นเมืองตรงช่วงกลางของภาพวาด จะเห็นเหมือนเขากำลังถือบางสิ่งอยู่ในมือ และจ้องไปยังสิ่งนั้น
          วัตถุนั้นมีลักษณะคล้ายกับโทรศัพท์มือถือ และชายผู้นั้นก็ดูเหมือนกับว่ากำลังเซลฟี่
          สำหรับตัวโรมาโนผู้วาดนั้น ได้เสียชีวิตไปตั้งแต่ปีค.ศ.1982 (พ.ศ.2525) 25 ปีก่อนที่ “สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs)” จะเปิดตัว “ไอโฟน (iPhone)” เครื่องแรกในปีค.ศ.2007 (พ.ศ.2550)
          แต่ถึงอย่างนั้น คนที่ไม่เชื่อก็คิดว่าวัตถุในมือของชายชาวพื้นเมืองนั้นน่าจะเป็นกระจกมากกว่า
          อันที่จริง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการพบสิ่งที่ดูเหมือนโทรศัพท์มือถือในรูปภาพโบราณ โดยภาพ “The Expected One” ฝีมือของ “เฟอร์ดินานด์ จอร์จ วัลท์มึลเลอร์ (Ferdinand Georg Waldmüller)” ก็พบบางสิ่งที่ดูคล้ายโทรศัพท์มือถือในภาพ
          ในภาพนั้น สตรีตรงกลางภาพกำลังถือบางอย่าง และก้มดูบางอย่างที่ดูคล้ายกับโทรศัพท์มือถือ
          แต่ที่น่าแปลก คือภาพ The Expected One นั้นถูกวาดตั้งแต่ปีค.ศ.1860 (พ.ศ.2403) แล้ว
          แต่ถึงอย่างนั้น บางคนก็แย้งว่าสิ่งที่อยู่ในมือของสตรีนั้น แท้ที่จริงแล้วคือหนังสือ และสตรีคนนั้นก็กำลังก้มหน้าอ่านหนังสือ
          นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของร่องรอยที่คนที่เชื่อถือเรื่องการเดินทางข้ามเวลาคิดว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับการเดินทางข้ามเวลา ซึ่งหากพิจารณาจากข้อเท็จจริง บางเรื่องก็ฟังดูแล้วแปลกจริงๆ
          หากว่าการเดินทางข้ามเวลามีอยู่จริง นั่นก็เท่ากับว่าผู้คนที่เราพบเห็นในปัจจุบัน บางคนอาจจะเป็นคนจากอนาคตที่เดินทางกลับมาเพื่อศึกษาอดีต และก็อยู่ปะปนกับคนทั่วๆ ไปโดยไม่มีใครล่วงรู้
          แล้วคุณล่ะครับ? เชื่อมั้ยว่าการเดินทางข้ามเวลานั้นมีอยู่จริง?

References:

Kapook Creator เป็นเนื้อหาที่นำเสนอโดยผู้สร้างสรรค์ที่เข้าร่วมโครงการ หากพบเนื้อหาที่ท่านเห็นว่าไม่ถูกต้องตามกติกา สามารถคลิกแจ้งปัญหาได้ที่นี่
เรื่องอื่นๆของ ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา
Advertisements
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เปิดร่องรอยปริศนาที่ชวนให้ขบคิด หรือการเดินทางข้ามเวลาจะมีอยู่จริง ?! อัปเดตล่าสุด 17 ตุลาคม 2567 เวลา 13:29:06
TOP