ความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ในภูเขาแชสตา กับหลายปริศนาที่ยังต้องหาคำตอบ

ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา

เพจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์น่ารู้ต่างๆ ทั่วโลก เพราะประวัติศาสตร์จะไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป

          “ภูเขาแชสตา (Mount Shasta)” หนึ่งในสถานที่ที่ลี้ลับที่สุดแห่งหนึ่งบนโลก
ภูเขาแชสตา

          “ภูเขาแชสตา (Mount Shasta)” เป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ร่ำลือถึงความลี้ลับมากที่สุดแห่งหนึ่งบนโลก
          เรื่องราวของภูเขาแห่งนี้น่าสนใจอย่างไร ผมจะเล่าให้ฟังครับ
          “ภูเขาแชสตา (Mount Shasta)” นั้นอยู่คู่วัฒนธรรมของชนพื้นเมืองแคลิฟอร์เนียมาเป็นเวลานาน เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับชนเผ่าต่างๆ มาเป็นเวลานานนับพันปี
          ชนเผ่าเชื่อว่าสถานที่นี้มีพลังอำนาจ เป็นที่สิงสถิตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นจุดที่โลกมาบรรจบกับท้องฟ้า
          ในบรรดาความเชื่อที่น่าสนใจของชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกัน ก็คือเรื่องราวของ “มนุษย์จากฟากฟ้า (Sky People)”
          มนุษย์จากฟากฟ้า คือกลุ่มคนที่ชนเผ่าเชื่อว่าตั้งรกรากยังแถบภูเขาแชสตา ในบริเวณแถบแนวต้นไม้ซึ่งเป็นจุดต้องห้ามสำหรับมนุษย์
          ว่ากันว่ามนุษย์จากฟากฟ้านั้นมีพลังอำนาจ มาจากโลกอื่นที่นอกเหนือความคาดหมายของมนุษย์ และเชื่อว่าการข้ามเข้ามาในดินแดนนี้นั้นอันตราย เนื่องจากเป็นที่อยู่ของสิ่งลี้ลับ
          ไม่ไกลจากภูเขาแชสตา พบว่ามีรูปแกะสลักบนหินเป็นรูปสัญลักษณ์ต่างๆ ทั้งสัตว์ ท้องฟ้า และรูปทรงต่างๆ โดยบางคนก็คิดว่าสัญลักษณ์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับมนุษย์จากฟากฟ้า
          อีกหนึ่งปริศนาที่เกี่ยวข้องกับภูเขาแชสตาก็คือตำนานทวีป “เลมูเรีย (Lemuria)” ซึ่งเป็นทวีปที่เชื่อว่าเคยมีอยู่เมื่อกว่าหมื่นปีก่อน
          ตามตำนาน ทวีปเลมูเรีย คือดินแดนกว้างใหญ่ในมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นถิ่นกำเนิดอารยธรรมโบราณที่จมอยู่ใต้ทะเล และว่ากันว่าผู้ที่รอดชีวิตก็อพยพมาตั้งถิ่นฐานยังภูเขาแชสตา สร้างเมืองในหุบเขา
          เรื่องราวของเลมูเรียโด่งดังเป็นอย่างมากเมื่อนักสำรวจชาวอังกฤษที่ชื่อ “เจ. ซี. บราวน์ (J.C. Brown)” ได้ออกมากล่าวอ้างว่าตนนั้นค้นพบเมืองเลมูเรียโบราณในภูเขาแชสตาในปีค.ศ.1904 (พ.ศ.2447)
          ตามคำบอกเล่าของบราวน์ เลมูเรียนั้นมีอุโมงค์ใต้ดิน วัตถุที่ทำจากทองคำมากมาย และยังมีโครงกระดูกยักษ์ โดยชาวเลมูเรียนั้นคือชาติพันธุ์ที่มีวิวัฒนาการ สามารถใช้เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำก่อสร้างเมืองใต้ดิน
          บราวน์นั้นได้รวบรวมกลุ่มนักสำรวจเพื่อจะทำการสำรวจภูเขาแชสตา แต่ก่อนที่การสำรวจจะเริ่ม บราวน์กลับหายตัวไปอย่างปริศนา ยิ่งทำให้เรื่องราวนี้ลี้ลับยิ่งขึ้น
          แต่ความลึกลับยังไม่หมดเพียงเท่านี้
          ภูเขาแชสตาเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีรายงานการพบเห็น “บิ๊กฟุต (Bigfoot)” หรือ “ไอ้ตีนโต” มากที่สุดแห่งหนึ่ง โดยมีรายงานการพบเห็นบิ๊กฟุตในป่าทึบรอบๆ ภูเขาแชสตา โดยผู้พบเห็นได้อ้างว่าพบเห็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายใหญ่โต มีขนรุงรัง สูงกว่าเจ็ดฟุต (2.13 เมตร) และเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ
          การพบเห็นนี้ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 และดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ ทำให้ภูเขาแชสตาคือหนึ่งในสถานที่ที่ผู้ที่สนใจในบิ๊กฟุตมักจะมาทำกิจกรรมและสำรวจ
          และถึงแม้ว่าหลายคนจะมองว่านี่เป็นเพียงเรื่องหลอกลวง แต่ตำนานนี้ก็ยังคงโด่งดังมาถึงปัจจุบัน
          ชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันในแถบนั้นก็มีตำนานของยักษ์ของตนเช่นกัน และหลายคนก็เชื่อว่านี่อาจจะเป็นบันทึกแรกๆ เกี่ยวกับบิ๊กฟุต เช่น ชนเผ่าโมดอค (Modoc) ก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ “มาตางามิ (Matagami)” ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ยักษ์ ขนรุงรัง อาศัยอยู่ในป่าห่างไกลแถบภูเขาแชสตา
          และในปีค.ศ.1930 (พ.ศ.2473) ก็มีการพบโครงกระดูกมนุษย์ขนาดใหญ่ใกล้ๆ ภูเขาแชสตา โดยโครงกระดูกนี้มีความสูงแปดฟุต (2.43 เมตร) ยิ่งทำให้เกิดเสียงฮือฮามากขึ้น โดยหลายฝ่ายก็มองว่านี่คือโครงกระดูกยักษ์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ แต่อีกหลายฝ่ายก็ยังไม่เชื่อ
          ความลี้ลับต่อมา ก็คือ “ยูเอฟโอ (UFO)”
          เป็นเวลากว่าร้อยปีที่ผ่านมา ชาวบ้านในละแวกภูเขาแชสตาและผู้ที่มาเยือน ต่างรายงานว่าพบเห็นแสงไฟปริศนาและวัตถุปริศนาบนท้องฟ้าเหนือภูเขาแชสตา
          หนึ่งในรายงานการพบเห็นที่โด่งดังที่สุดเกิดขึ้นในปีค.ศ.2008 (พ.ศ.2551) เมื่อมีผู้รายงานว่าพบเห็นวัตถุขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายแมงกะพรุน บินอยู่เหนือภูเขาแชสตา
          ไม่มีรูปถ่ายเป็นหลักฐาน หากแต่ก็ทำให้ภูเขาแชสตากลายเป็นหนึ่งในสถานที่ที่โด่งดังเรื่องการพบเห็นยูเอฟโอ
          มีทฤษฎีมากมายเกี่ยวกับการพบเห็นยูเอฟโอในแถบภูเขาแชสตา โดยทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่า มีฐานทัพใต้ดินอยู่ในภูเขาแชสตา ควบคุมโดยสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว บ้างก็เชื่อว่ายูเอฟโอใช้ภูเขาแชสตาเป็นทางเข้าออกผ่านประตูลับหรือเส้นทางต่างมิติ
          ความลี้ลับยังไม่สิ้นสุดเพียงเท่านี้ เนื่องจากมีปริศนาการสูญหายของบุคคลต่างๆ ในแถบภูเขาแชสตา โดยหนึ่งในเคสที่โด่งดังก็คือเคสในปีค.ศ.1999 (พ.ศ.2542) เมื่อชายที่ชื่อ “คาร์ล แลนเดอร์ส (Carl Landers)” หายสาบสูญไปขณะออกปีนเขาในแถบภูเขาแชสตา
          ทีมค้นหาได้ออกค้นหากันอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งค้นหาทางบกและเฮลิคอปเตอร์ หากแต่ไม่พบร่องรอยของแลนเดอร์สเลย
          เรียกได้ว่าแลนเดอร์สนั้นหายไปตอนกลางวันแสกๆ อากาศแจ่มใส และไร้ซึ่งร่องรอยอะไรทั้งสิ้น
          อีกเคสที่น่าสนใจเกิดขึ้นในปีค.ศ.2008 (พ.ศ.2551) เมื่อเด็กวัยสามขวบที่มาแคมปิ้งกับครอบครัวในบริเวณภูเขาแชสตา ได้เกิดหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
          หลังจากออกตามหาเป็นเวลาหลายชั่วโมง ก็พบเด็กชายบริเวณพุ่มไม้ใกล้ๆ จุดตั้งแคมป์ ซึ่งเด็กชายก็ปลอดภัยดี และบริเวณที่พบก็ปรากฏว่าได้ทำการค้นหาในจุดนั้นไปแล้ว
          เด็กชายได้เล่าในภายหลังว่าคนที่พาตนไปคือหญิงชราที่เรียกว่า “คุณยายแคปปีผู้อื่น (Other Grandma Cappy)” และกล่าวว่าคุณยายผู้นี้ดูไม่ค่อยเหมือนมนุษย์นัก ทำให้หลายคนคิดว่าคุณยายผู้นี้อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกหรือสิ่งลี้ลับ
          ด้วยปริศนาเหล่านี้ ทำให้เรื่องราวเกี่ยวกับภูเขาแชสตาเป็นที่ร่ำลือถึงความลี้ลับ
          สำหรับเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ บริเวณภูเขาแชสตานั้นเป็นบริเวณที่สนามแม่เหล็กไม่ปกติ ทำให้หลายคนคิดว่านี่อาจจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้น
          ในแถบภูเขาแชสตา เข็มทิศอาจจะทำงานไม่ปกติ ทำให้นักปีนเขาอาจจะหลงทางได้ เป็นที่มาของการสูญหายต่างๆ ในแถบนี้ อีกทั้งอาจจะส่งผลต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าและทำให้เกิดภาพหลอนได้
          องค์การนาซ่า (NASA) ก็ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับทางเข้าแม่เหล็ก ซึ่งทางเข้าเหล่านี้คือบริเวณที่สนามแม่เหล็กโลกเชื่อมต่อกับดวงอาทิตย์อย่างพอดิบพอดี ทำให้เกิดเส้นทางที่อนุภาคต่างๆ เชื่อมต่อกันได้
          ทางเข้าแม่เหล็กนี้มักจะอยู่สูงเหนือพื้นโลก หากแต่นักวิทยาศาสตร์ก็คาดการณ์ว่าเป็นไปได้ว่าปรากฏการณ์แม่เหล็กนี้อาจจะเกิดขึ้นเหนือพื้นโลกเพียงเล็กน้อยในพื้นที่บางแห่งได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือภูเขาแชสตา
          หากนี่เป็นเรื่องจริง เท่ากับว่ารายงานการพบเห็นแสงประหลาดและเหตุการณ์ปริศนาต่างๆ ก็อาจจะมีสาเหตุมาจากแม่เหล็กก็เป็นได้
          และจากสภาพทางภูมิศาสตร์ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูง เนื่องจากภูมิประเทศที่เป็นภูเขาไฟ รอบๆ มีแร่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งก็อาจจะส่งผลต่อสนามแม่เหล็กในแถบนั้น
          แต่ถึงอย่างนั้น ผู้คนจำนวนมากก็ยังหลงใหลในภูเขาแชสตา และคิดว่าเหตุการณ์หลายๆ เหตุการณ์ยังไม่สามารถหาคำอธิบายได้ชัดเจน
          และเรื่องราวปริศนาของภูเขาแห่งนี้ ก็คงเป็นที่ร่ำลือกันต่อไปอีกนานเท่านาน
          สั่งซื้อหนังสือ “ประวัติศาสตร์แห่งความหลอกลวง 5,000 ปีของการต้มตุ๋น ฉ้อโกง โกหก ปลอมแปลง” ได้ตามลิ้งค์นี้นะครับ

References:

Kapook Creator เป็นเนื้อหาที่นำเสนอโดยผู้สร้างสรรค์ที่เข้าร่วมโครงการ หากพบเนื้อหาที่ท่านเห็นว่าไม่ถูกต้องตามกติกา สามารถคลิกแจ้งปัญหาได้ที่นี่
เรื่องอื่นๆของ ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา
Advertisements
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ในภูเขาแชสตา กับหลายปริศนาที่ยังต้องหาคำตอบ อัปเดตล่าสุด 18 พฤศจิกายน 2567 เวลา 16:56:07 1,222 อ่าน
TOP