“จั๊กจี้” วิธีการทรมานที่ไม่ตลกแห่งยุคโบราณ

การ “จั๊กจี้” อาจจะดูเหมือนเป็นการหยอกเล่น แกล้งกันสนุกๆ
แต่อันที่จริง การจั๊กจี้นี้สร้างความอึดอัดและไม่สบายตัวให้แก่ผู้คนมาเป็นเวลานานแล้ว และยังเป็นหนึ่งในวิธีการลงโทษแห่งยุคโบราณอีกด้วย
วันนี้เราจะมาดูเรื่องราวของการ “จั๊กจี้” กัน
ในสมัยโบราณ “อริสโตเติล (Aristotle)” นักปรัชญาชาวกรีกยุคโบราณ ได้กล่าวว่าการรู้สึกจั๊กจี้นั้น เป็นคุณสมบัติของมนุษย์ เนื่องจากว่าบริเวณจุดที่อ่อนไหวของมนุษย์ เมื่อถูกกระตุ้น ก็จะทำให้หัวเราะ
แต่ในเวลาต่อมาก็มีการทดลองการจั๊กจี้กับสัตว์อื่นๆ เช่น ลิงชิมแปนซี ก็พบว่าสมมติฐานของอริสโตเติลอาจจะไม่ถูกต้องซะทีเดียว
สำหรับการนำการจั๊กจี้มาประยุกต์ใช้กับการทรมานนั้น ก็มีรากฐานมาจากหลายดินแดนทั่วโลก
ในสมัยราชวงศ์ฮั่นของจีน มีบันทึกว่าชาวฮั่น ได้นำการจั๊กจี้มาเป็นส่วนหนึ่งในการทรมานนักโทษ เนื่องจากการจั๊กจี้นั้น ผู้ที่ถูกทรมานจะฟื้นจากการถูกทรมานโดยเร็ว อีกทั้งยังไม่สร้างบาดแผลบนตัวของผู้ถูกจั๊กจี้ ส่วนที่ญี่ปุ่น ก็มีการนำเอาการจั๊กจี้มาเป็นส่วนหนึ่งในการทรมานนักโทษเช่นกัน
และถึงแม้ว่าการจั๊กจี้จะไม่ได้ทำให้ผู้ถูกจั๊กจี้ได้รับบาดเจ็บ แต่ในหลายๆ เคส ผู้ที่ถูกจั๊กจี้ก็จะประสบกับภาวะหอบ หายใจไม่ทัน หลอดเลือดโป่งพอง และอาการเครียด
แต่ผู้ที่นำเอาการจั๊กจี้มาใช้และครีเอทมาก ก็ต้องยกให้ชาวโรมัน
ผู้ที่ถูกทรมานจะถูกมัดตัวติดไว้กับเสา ก่อนที่จะเอาเท้าจุ่มลงไปในน้ำเกลือ ก่อนที่แพะจะเข้ามาเลียเท้าของผู้ที่ถูกทรมาน ทำให้ผู้ที่ถูกทรมานนั้นรู้สึกจั๊กจี้และทรมานเมื่อลิ้นของแพะถูไปกับผิวหนัง
การทรมานด้วยการจั๊กจี้นั้นดำเนินต่อมาเรื่อยๆ จนถึงศตวรรษที่ 20 โดยมีรายงานว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลายฝ่ายก็มีการใช้การจั๊กจี้เป็นส่วนหนึ่งของการทรมานนักโทษ
เรียกได้ว่าการจั๊กจี้นี้เป็นการทรมานที่ไม่ตลกเลยจริงๆ
References:
Kapook Creator เป็นเนื้อหาที่นำเสนอโดยผู้สร้างสรรค์ที่เข้าร่วมโครงการ หากพบเนื้อหาที่ท่านเห็นว่าไม่ถูกต้องตามกติกา สามารถคลิกแจ้งปัญหาได้ที่นี่