
แอลเบเนีย เป็นประเทศเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในแถบคาบสมุทรบอลข่าน โดยในสมัยศตวรรษที่ 15 แอลเบเนียคือหนึ่งในฐานที่มั่นของชาวคริสต์ในยุโรป ใช้เป็นที่มั่นเพื่อสู้รบกับกองทัพอ็อตโตมัน
เรื่องราวของสเกินเดร์เบอูเป็นอย่างไร ผมจะเล่าให้ฟังครับ
สเดินเดร์เบอู มีนามเดิมว่า “เจร์จ กัสตรีออตี (Gjergj Kastrioti)” โดยบิดาของเขาเป็นลอร์ดในดินแดนเล็กๆ ในแอลเบเนีย และด้วยความที่บิดาของเขาถือว่าเป็นเจ้าเมืองภายใต้อำนาจของจักรวรรดิอ็อตโตมัน บิดาจึงถูกบังคับให้ส่งตัวสเกินเดร์เบอูและพี่น้องไปเป็นตัวประกันยังราชสำนักอ็อตโตมันที่เมืองเอเดอเน
บุตรหลานของเจ้าเมืองต่างๆ จะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี โดยสเกินเดร์เบอูก็ได้รับการฝึกฝนวิชาทหารตั้งแต่เยาว์วัย
สเกินเดร์เบอูนั้นฉายแววความเป็นนักการทหารที่ยอดเยี่ยมตั้งแต่วัยเยาว์ และก็สามารถไต่เต้า มียศสูงขึ้นเรื่อยๆ ในกองทัพอ็อตโตมัน แสดงความสามารถด้านการเป็นแม่ทัพที่ชำนาญศึกให้ผู้คนได้พบเห็น โดยจากบันทึกประวัติศาสตร์ กล่าวว่าสเกินเดร์เบอูนั้นมีรูปร่างสูง และมีเสียงทุ้มต่ำ ทรงอำนาจ
สเกินเดร์เบอูร่วมสู้รบในกองทัพอ็อตโตมันเป็นเวลากว่า 20 ปี สร้างชื่อเสียงให้ตนเองมากมาย
แต่กลับกลายเป็นว่า ดินแดนที่คาดหวังว่าจะได้ กลับตกเป็นของจักรวรรดิอ็อตโตมัน สร้างความโกรธแค้นแก่สเกินเดร์เบอูเป็นอันมาก
สเกินเดร์เบอูไม่อยู่เฉย และตัดสินใจจะสู้เพื่อสิทธิที่ตนควรจะได้
ค.ศ.1443 (พ.ศ.1986) สเกินเดร์เบอูได้หนีออกมาจากกองทัพอ็อตโตมัน โดยหนีมาพร้อมกับทหารอีก 300 นาย และก่อนจะหนีออกมา สเกินเดร์เบอูได้บังคับให้อาลักษณ์ของสุลต่านเขียนจดหมาย มอบอำนาจครอบครองเมืองครูเยอ ซึ่งเป็นเมืองในแอลเบเนีย แก่ตน
จากนั้น สเกินเดร์เบอูก็ได้ทำสงครามต่อต้านจักรวรรดิอ็อตโตมันมาโดยตลอด
เป็นเวลา 25 ปีหลังจากนั้น สเกินเดร์เบอูสามารถเอาชนะกองทัพอ็อตโตมันและเหล่าศัตรูได้เรื่อยๆ โดยกองทัพของสเกินเดร์เบอูมักจะมีกำลังพลระหว่าง 10,000-15,000 นาย และมักจะสู้รบกับกองทัพศัตรูที่มีกำลังพลมากกว่ามาก
สเกินเดร์เบอูมักจะใช้ยุทธวิธีการรบแบบสงครามกองโจร ซุ่มโจมตี ใช้ภูมิประเทศของป่าเขาให้เป็นประโยชน์ สร้างความเสียหายแก่กองทัพศัตรูได้มาก
นอกจากนั้น สเกินเดร์เบอูยังเป็นนักการทูตที่เก่งกาจ เขารู้ตัวดีว่าเพียงกำลังที่ตนมีนั้น ย่อมไม่สามารถต้านทานกองทัพอ็อตโตมันได้แน่ ดังนั้นต้องหาพันธมิตร
- ค.ศ.1444 (พ.ศ.1987) กองทัพของสเกินเดร์เบอูจำนวน 18,000 นาย สามารถพิชิตกองทัพอ็อตโตมันจำนวน 25,000 นายได้
- ค.ศ.1445 (พ.ศ.1988) กองทัพของสเกินเดร์เบอูจำนวน 3,500 นาย สามารถพิชิตกองทัพอ็อตโตมันจำนวน 15,000 นาย
- ค.ศ.1446 (พ.ศ.1989) กองทัพของสเกินเดร์เบอูจำนวน 5,000 นาย สามารถพิชิตกองทัพอ็อตโตมันจำนวน 15,000 นาย และเปลี่ยนค่ายอ็อตโตมันให้กลายเป็นลานประหาร
- ค.ศ.1448 (1991) สเกินเดร์เบอูต้องรบกับเวนิสและอ็อตโตมัน ซึ่งต่างก็โจมตีมาจากหลายทิศทาง โดยเริ่มแรก สเกินเดร์เบอูต้องจัดการกองทัพเวนิส โดยใช้กำลังทหารเพียง 9,000 นาย บดขยี้กองทัพเวนิสกว่า 15,000 นาย ทำให้กองทัพเวนิสต้องยอมเจรจาสงบศึก ก่อนที่กองทัพของสเกินเดร์เบอูจะใช้กำลังทหารอีก 6,000 นายทำลายกองทัพอ็อตโตมันจำนวน 15,000 นาย
หลังจากได้รับชัยชนะ สเกินเดร์เบอูก็นำทัพ มุ่งตรงไปยังโคโซโว โปลเย หากแต่ว่าสายไปแล้ว กองทัพครูเสดของฮังการีได้ถูกกองทัพศัตรูบดขยี้ ซึ่งกองทัพของสเกินเดร์เบอูอยู่ห่างออกไปเพียงแค่ 32 กิโลเมตรเท่านั้น
ความพ่ายแพ้ของชาวคริสต์ในครั้งนี้ ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพยุโรปตกต่ำ และทำให้กองทัพอ็อตโตมันสามารถปิดล้อมเมืองคอนสแตนติโนเปิลได้ในปีค.ศ.1453 (พ.ศ.1996) และทำให้คอนสแตนติโนเปิลแตกในที่สุด
ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงพฤศจิกายนปีนั้น ฝ่ายตั้งรับก็สามารถรับมือการโจมตีจากศัตรูได้ตลอด ส่วนสเกินเดร์เบอูก็ทำการโจมตีค่ายศัตรูได้ตลอด ทำให้กองทัพศัตรูต้องเสียกำลังพลเป็นอันมาก
ค่ำคืนหนึ่ง สเกินเดร์เบอูได้ปล่อยฝูงแพะเข้ามาก่อกวนในค่ายตุรกี โดยได้ติดตั้งเทียนไว้บนเขาแพะ ทำให้ทหารตุรกีเข้าใจว่าศัตรูกำลังจะบุกโจมตี เกิดความวุ่นวายไปทั่วค่าย
พฤศจิกายน ค.ศ.1450 (พ.ศ.1993) หลังจากเสียกำลังทหารไปกว่า 40,000 นาย กองทัพอ็อตโตมันก็ต้องถอยทัพ
แต่อย่างไรก็ตาม การโจมตีอย่างหนักของกองทัพอ็อตโตมันที่ผ่านมา ผนวกกับการเพาะปลูกที่ล้มเหลว ทำให้เกิดภาวะอดอยาก และทำให้อาณาจักรของสเกินเดร์เบอูแทบจะล่มสลาย
บุญคุณครั้งนี้ คือสิ่งที่สเกินเดร์เบอูจะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต
ค.ศ.1453 (พ.ศ.1996) “สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 (Mehmed II)” ได้ขึ้นครองบัลลังก์แทนสุลต่านมูรัดที่ 2 ผู้เป็นพระราชบิดา และทรงตัดสินพระทัยจะกำจัดสเกินเดร์เบอูให้สิ้นซาก
พระองค์ทรงจัดทัพอ็อตโตมันจำนวน 27,000 นาย เดินทัพรุกรานแอลเบเนีย หากแต่กองทัพของสเกินเดร์เบอูจำนวนเพียง 14,000 นายก็สามารถพิชิตกองทัพอ็อตโตมันได้อีกครั้ง
ชัยชนะครั้งสำคัญมาถึงในปีค.ศ.1457 (พ.ศ.2000) สเกินเดร์เบอู พร้อมด้วยกำลังทหาร 8,000 นาย ได้พิชิตกองทัพอ็อตโตมันจำนวนกว่า 80,000 นายจนย่อยยับ และทำให้สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ต้องเจรจาพักรบชั่วคราวเป็นเวลาสามปี
ในปีค.ศ.1461 (พ.ศ.2004) “พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งนาโปลี (Ferdinand I of Naples)” พระราชโอรสในพระเจ้าอัลฟองโซที่ 5 แห่งอารากอน ได้ทรงทำศึกเพื่อชิงบัลลังก์นาโปลี
ค.ศ.1463 (พ.ศ.2006) สเกินเดร์เบอูได้พิชิตกองทัพอ็อตโตมันที่ยกทัพมารุกรานถึงสามทัพ และทำให้สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ต้องทรงยอมเจรจาพักรบเป็นเวลากว่า 10 ปี
แต่อย่างไรก็ตาม ทัพของสเกินเดร์เบอูก็ได้โจมตีกองทัพอ็อตโตมันในหลายพื้นที่
หลังจากจับเชลยจากกองทัพสเกินเดร์เบอูได้ สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ก็รับสั่งให้ถลกหนังเชลยเหล่านี้ทั้งเป็นเป็นเวลากว่า 15 วัน และให้เอาหนังของทหารเชลยไปเป็นอาหารสุนัข
ข่าวการถูกทรมานจนตายของทหารตนทำให้สเกินเดร์เบอูพิโรธอย่างหนัก และตั้งใจจะล้างแค้นให้ได้
ค.ศ.1466 (พ.ศ.2009) สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ทรงยกทัพจำนวน 30,000 นายมาล้อมเมืองโครเยอด้วยพระองค์เอง หากแต่ก็ล้มเหลว ก่อนที่จะนำทัพกลับมาโจมตีอีกครั้งในปีต่อมา แต่ก็ยังคงล้มเหลวอีก
ค.ศ.1468 (พ.ศ.2011) สเกินเดร์เบอูล้มป่วยกะทันหัน ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะถูกวางยาพิษ ก่อนจะเสียชีวิตในวันที่ 17 มกราคม ค.ศ.1468 (พ.ศ.2011) ด้วยวัย 62 ปี
ที่ยุโรปตะวันตก สเกินเดร์เบอูได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ และสเกินเดร์เบอูคือชาวยุโรปรายแรกๆ ที่สามารถพิชิตกองทัพอ็อตโตมัน และทำให้ประชาชนเชื่อว่ากองทัพอ็อตโตมันไม่สามารถพิชิตพวกตนได้