รีวิวหนังสือเรือนไม้สีเบจ นวนิยายรักจากปลายปากกาของ ว.วินิจฉัยกุล

Books and My Quotes

เพจคุยเรื่องหนังสือ รวมเรื่องราวประทับใจจากหนังสือที่รัก จากแอดมินคนเดียวคนเดิมจากเพจซีรีส์ที่รักค่ะ

          #บันทึกการอ่านนวนิยายของฉัน #คุยถึงหนังสือในตู้ #เรือนไม้สีเบจ #ววินิจฉัยกุล #เรื่องราวระหว่างบรรทัดจากนวนิยายที่รัก #หนังสือที่รัก #นวนิยายที่รัก
เรือนไม้สีเบจ

          วันนี้นำบทบันทึกการอ่านมารีรันอีกรอบค่ะ เขียนไว้ตั้งแต่ปีก่อนโน้น เป็นนวนิยายอีกเรื่องที่ตามหาหนังสือนวนิยายมาอ่านหลังจากได้ชมละครทางทีวี
          เรื่อง "เรือนไม้สีเบจ" ของ ว.วินิจฉัยกุล นวนิยายเรื่องนี้มีความพิเศษตรงที่ผู้เขียนใช้วิธีการเขียนเล่าเรื่องผ่านบันทึกของตัวละครสลับกันไป เป็นเทคนิคการเขียนที่ทำให้คนอ่านทำความเข้าใจจิตใจตัวละครได้ดียิ่งขึ้น
          เมื่อดูละครแล้วค่อยมาอ่านหนังสือ บางทีฉันก็ติดภาพแอนดริว เกร้กสัน กับเชอรี่ เข็มอัปสร มาบ้างตอนอ่านนิยาย แต่เมื่ออ่านจบก็รู้สึกว่าเหมือนได้อ่านไดอารี่ชีวิตความรักของคนคู่หนึ่งที่เริ่มเรื่องราวจากการพบกันครั้งแรกในชีวิตมหาวิทยาลัย และต่อเนื่องยาวนานบนเส้นทางชีวิตจริงๆที่ไม่ได้มีแต่ความสุข หากปนเปไปกับความทุกข์ที่มาตามครรลองชีวิต
          ตอนที่อ่านคำนำของผู้เขียนที่ตั้งคำถามว่า อ่านเรื่องรักในวัยหวานมาหลายเรื่อง ส่วนใหญ่จบลงเมื่อพระเอกนางเอกในวัยเรียนค้นพบว่าตัวเองมีความรู้สึกดีๆให้กัน หรือไม่ก็อาจยืดยาวไปจนถึงคนใดคนหนึ่งจากบ้านไปเรียนต่อเพื่ออนาคต ด้วยคำสัญญาว่าจะกลับมาหากันอีก
          ผู้เขียนจึงเขียนนวนิยายเรื่องนี้ขึ้นเพื่อฉายภาพให้เห็นว่าชีวิตในช่วงหลังวัยหวาน ทั้งสองจะต้องพบว่าชีวิตไม่ได้หยุดแค่ช่วงโรยกลีบกุหลาบ แต่ยังมีช่วงขวากหนามอยู่อีกมากมายในชีวิตคู่ เป็นสิ่งท้าทายให้ฟันฝ่า หรือจำต้องยอมแพ้ ทั้งหมดนี้ จะผ่านพ้นได้หรือไม่ก็แล้วแต่ความเข้มแข็งและอ่อนแอของคนแต่ละคน
เรือนไม้สีเบจ

          นวนิยายเรื่องนี้จึงเริ่มต้นขึ้นในบทบันทึกแรกของมุกเมื่อได้พบพี่อาร์ม แล้วเธอมองเขาว่า "ผู้ชายคนนี้สูงสุดเอื้อมจริงๆ" เพราะพี่อาร์มสูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ในขณะที่มุกเป็นสาวน้อยรุ่นน้องตัวเล็กที่สูงเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบเก้าเซนติเมตร
          พี่อาร์มเป็นรุ่นพี่ หนุ่มนักกีฬา นักกิจกรรมที่โดดเด่นมากในมหาวิทยาลัย ตอนช่วงแรกที่มุกเห็นพี่อาร์ม มุกจะเห็นรุ่นพี่สาวสวยอย่าง "พี่จี" อยู่ใกล้ๆพี่อาร์มเสมอ ต่อมาเส้นทางของพี่อาร์มก็เข้ามาใกล้มุกมากขึ้น มีความสัมพันธ์ที่เชื่อมเข้าหากัน เมื่อแม่ของพี่อาร์ม ไปแต่งงานเป็นภรรยาใหม่ของหนุ่มใหญ่ไฮโซ และอยู่ในแวดวงสังคมเดียวและรู้จักกับครอบครัวมุก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จุลศก ลูกชายพ่อเลี้ยงของอาร์มที่เป็นชายหนุ่มที่เข้ามาติดพันมุก
          พี่อาร์มและมุกสนิทสนมกันมากขึ้นเมื่อต่างฝ่ายต่างไปเยี่ยมบ้านของกันและกัน มุกได้รู้จักเรือนไม้สีเบจของพี่อาร์ม และรับรู้ว่ามันเป็นสถานที่ที่สำคัญและมีความหมายมากเพียงใด
          พี่อาร์ม เมื่อมาบ้านมุก ก็พบว่าตนเองและมุกนั้นอยู่บนเส้นทางที่ไม่น่าจะมาบรรจบกันได้ พี่อาร์มมักมองตัวเองแล้วเห็นแต่ความไม่พร้อมแล้วเจียมตัวเสมอ
          พี่อาร์มตัดสินใจจากมุกไปอยู่กับพ่อที่แยกกับแม่ไปทำงานและมีครอบครัวใหม่ที่อเมริกา แล้วต่อมาโชคชะตาก็เล่นตลกพลิกผันชีวิตพี่อาร์มเมื่อประสบเคราะห์กรรมจากอุบัติเหตุรถยนต์
          ความรักของตัวละครเรื่องนี้ค่อยๆ เติบโต โดยมีบ้านพี่อาร์ม เรือนไม้สีเบจ เหมือนเป็นที่พักพิงใจและศูนย์รวมความรัก และเส้นทางชีวิตที่ผ่านอุปสรรคขวากหนาม
เรือนไม้สีเบจ

          สิ่งที่ชอบอีกอย่างในนวนิยายเรื่องนี้คือบทบาทของญาติผู้ใหญ่ที่มีส่วนสำคัญมากต่อเส้นทางเดินชีวิตของคนทั้งสอง เมื่ออาร์มมีคุณยายและเรือนไม้สีเบจ ในขณะที่มุกมีคุณย่า ที่เลี้ยงดูเธออย่างใกล้ชิดและให้ความรักความอบอุ่นมากยิ่งกว่าแม่แท้ๆ
          เมื่อมาเขียนบันทึก ฉันเริ่มจำรายละเอียดเรื่องทั้งหมดไม่ได้ แต่จำบรรยากาศถึงความรักที่มุกและพี่อาร์มมีให้กันได้ และจำบรรยากาศและรูปแบบการเขียนเรื่องนี้ของผู้เขียนว่าแตกต่างจากเรื่องอื่น
          ผู้เขียนใช้วิธีเขียนแนวบันทึกส่วนตัวของตัวละครเอกสลับไปมา เวลาเขียนเรื่องของมุก ก็จะเป็นความรู้สึกและการเล่าเรื่องที่ดำเนินไป ความรู้สึกที่มุกมีต่อพี่อาร์ม
          เวลาอ่านบันทึกของพี่อาร์มที่เล่าถึงความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อมุก ก็จะเป็นแบบผู้ชายที่ทำทุกอย่างด้วยเหตุผลมากกว่าหัวใจ

ตอนที่ประทับใจจากนวนิยายที่รัก

          นวนิยายเรื่องนี้มีบทบรรยายความรู้สึกตัวละครที่ประทับใจเต็มไปหมด แต่วันนี้อยากคัดลอกมาลงไว้สองบท ในมุมมองของตัวละครหลักคืออาร์มและมุก ลองอ่านดูนะคะ ส่วนตัวอ่านแล้วรับรู้ได้ถึงความรักอันลึกซึ้งที่ทั้งคู่ต่างมีให้กัน

ความรู้สึกในใจของอาร์ม

          มุกหมุนตัวกลับมาแนบหน้าลงบนบ่าผม เธอซุกตัวนิ่งเหมือนเด็กเล็กๆในวงแขนผู้ใหญ่ เสียงถอนใจยาวบอกให้รู้ว่าเธอกล้ำกลืนเสียงสะอื้นลงไปได้แล้ว
          "พี่อยากมีลูก" ผมบอกเธอด้วยความจริงใจทั้งหมด หวังว่าเธอคงเข้าใจ
          "อยากให้ลูกมีทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งสิ่งที่พี่มีและสิ่งที่พี่อยากมีแต่ไม่เคยมี แต่…มุกมองดูตัวพี่ซิ พี่ยังไปไม่ถึงจุดนั้น งานก็เพิ่งเริ่มต้น เรื่องผ่าตัดก็ยังคาราคาซัง สงสารลูก…เกิดมา พ่อไม่มีอะไรให้ลูกสักอย่าง"
          มุกเงยหน้าขึ้นมองผม เงาใสแวววาวปริ่มในดวงตา แต่รอยยิ้มเริ่มคลี่แย้มเหมือนดอกไม้
          "พี่อาร์มคิดมากอีกแล้ว" เสียงเธอใสขึ้นทันที "ยังไงเราก็มีงานทำแล้ว เรื่องผ่าตัดอีกไม่กี่เดือนหมอก็จะนัดผ่า แล้วพี่อาร์มก็จะหายดี ไม่คิดอย่างนี้หรือคะ ถ้ามัวรอให้พร้อม เราอาจไม่มีวันพร้อมในชาตินี้เลยก็ได้"
          จริงของมุก
          อีกครั้งหนึ่งแล้วที่ผมห่วงพะวงเรื่องความไม่พร้อมมากเกินไป ผมประเมินทุกสิ่งที่ผมเป็นและผมมีว่าเลวร้ายกว่าความเป็นจริงอยู่เสมอ จนกลายเป็นว่าถ้าชีวิตผมยังพร่องไม่สมบูรณ์แบบ ผมก็ไม่กล้าหวังถึงสิ่งดีๆ สิ่งใดว่ามันจะเกิดขึ้นมาได้
          ผมเอาแต่รอความพร้อม ไม่เคยนึกว่าคำนี้ไม่เคยมีให้เห็นสำหรับคนที่จมอยู่กับคำว่า "ไม่พร้อม" ไม่ในเรื่องนี้ก็เรื่องนั้น
          "ถูกของมุก" ผมกดศีรษะเล็กๆนั้นลงแนบบ่าอีกครั้ง หักห้ามคลื่นวุ่นวายใจลึกๆ ให้มันสงบลงเป็นน้ำเรียบอย่างยากเย็น "ถ้าใจพี่ไม่พร้อม มันก็จะไม่มีวันพร้อม คงเป็นเพราะพี่…พี่รู้สึกว่าตัวเองโชคดีเกินกว่าจะควรได้รับหลายๆอย่างละมั้ง พี่ถึงกลัวไปหมด ไม่กล้าหวัง เพราะกลัวจะไม่ได้ตามหวัง"
          ครั้งหนึ่งผมเคยมั่นใจ เคยทะนงในตัวเองอย่างสูง แต่โชคชะตาพลิกผันผมอย่างโหดร้ายในขณะความสำเร็จอยู่แค่เอื้อม หลังจากวันที่ผมตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลแล้วพบว่าผมไม่สามารถเดินเหินได้เหมือนเก่า ผมก็หมดความเชื่อถือว่าจะมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นในชีวิตผมอีก
          ผมเพิ่งนึกออกว่า มือเล็กๆ ที่กำลังไต่หน้าอกผมเล่นตอนนี้เอง เป็นมือที่ยื่นดอกไม้แห่งความหวังเข้ามาให้ ในขณะผมนั่งจมอยู่กับความท้อแท้ทั้งกายใจ กลิ่นหอมหวานของมันทำให้ผมลุกขึ้นมาได้
          คุณย่าเป็นอีกคนหนึ่งที่ย้ำกับผมว่า ดอกไม้ดอกนั้นเป็นของผมอย่างถาวร ไม่มีใครพรากไปได้ เช่นเดียวกับเรือนไม้สีเบจ สมบัติชิ้นเดียวที่ผมมี

ความรู้สึกในใจของมุก

          ฉันไม่ได้โผเข้าไปกอดเขาหรอก...ทำอย่างนั้นมันเหมือนเด็กแสนงอนกลับมาคืนดีกับเด็กอีกคน ความรู้สึกท่วมท้นขึ้นมามากกว่านั้นหลายเท่า
          ฉันเพียงแต่ก้าวด้วยฝีเท้ามั่นคงไปที่เตียง เมื่อพี่อาร์มทรงตัวลุกขึ้นนั่งเต็มตัว ฉันก็เข้าไปสวมกอดเขาไว้...อย่างเงียบๆ แล้วแนบหน้าลงบนบ่ากว้าง ไขว่คว้ายึดมือเขาไว้แน่น
          คำพูดไม่จำเป็นสำหรับเราสองคน
          อย่าปล่อยมือฉันได้ไหม
          ไม่ว่าอะไรก็ตาม
          เจ็บปวดชอกช้ำแค่ไหน
          จับมือฉันไว้ตลอดเวลา
          อย่าปล่อยมือฉันได้ไหม
          ถึงฉันจะมีน้ำตา
          ก็จะขอยืนยัน
          ว่าฉันจะอยู่กับเธอ
          แขนของพี่อาร์มเลื่อนมากอดฉันไว้ มืออีกข้างหนึ่งประสานยึดมือฉันไว้แน่นเช่นกัน แน่นจนฉันรู้สึกว่าเจ็บ
          เมื่อเขาแนบหน้าลงบนเส้นผม...ฉันสัมผัสลมหายใจสะท้านแรง...เหมือนพี่อาร์มกำลังเก็บกลั้นอารมณ์ท่วมท้นหัวใจเช่นเดียวกับหัวใจอีกดวงหนึ่งซึ่งแนบอกเขาอยู่ในตอนนี้
          “มุกคือชีวิตของพี่...รู้ไว้ด้วย ถ้าไม่มีมุก..พี่ก็ไม่มีชีวิตเหลืออีก”
          นานเท่านาน...เรายังอยู่ในอ้อมแขนกันและกัน

ตอนหนึ่งจากนวนิยายเรือนไม้สีเบจ ของ ว.วินิจฉัยกุล

          นวนิยายเรื่องนี้เคยพิมพ์เป็นตอนๆในนิตยสารหญิงไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2543 - 2544
          ภาพประกอบเรื่องวันนี้เป็นสองปกจากสองสำนักพิมพ์
เรือนไม้สีเบจ

          ปกซ้ายมือคือฉบับที่ตีพิมพ์ครั้งที่ 7 เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550 โดยสำนักพิมพ์ทรีบีส์ ภาพปกโดย เกริกบุระ ยมนาค และขวามือคือฉบับพิมพ์ครั้งที่ 9 ของสำนักพิมพ์อรุณที่พิมพ์ขึ้นเมื่อปี 2564
          เป็นนวนิยายอีกเรื่องที่ได้ชมละครทีวีก่อนจะตามหาซื้อนิยายมาอ่าน ประทับใจทั้งสองแบบเช่นกัน
          ละครเรื่องเรือนไม้สีเบจ ฉายทางช่องสาม เมื่อปี พ.ศ. 2547 สร้างโดยทีวีซีน เขียนบทโดยเอกลิขิต นำแสดงโดย แอนดริว เกร้กสัน และ เข็มอัปสร สิริสุขะ
          ชอบละครมากๆ ค่ะ ใครไม่เคยดูติดตามดูน่าจะพอหาดูได้จากยูทูปนะคะ

โปรยปกหลัง ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 7 สำนักพิมพ์ทรีบีส์ ปี 2550

เรือนไม้สีเบจ

วิญญาณของเรือนไม้สีเบจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผม
คงจะเป็นเพราะเราเห็นกันมาตั้งแต่เกิด
เราเคยสุขด้วยกันเมื่อครอบครัวยังอยู่พร้อมหน้า...
เคยเหงาด้วยกันเมื่อคนอื่นๆ แต่ละคนพากันจากไป...
เมื่อสาวน้อยคนหนึ่งก้าวเข้ามา
เธอก็นำชีวิตชีวามาให้ทั้งผมและเรือนหลังนี้
เธอรักและไม่ทอดทิ้งบ้านเช่นเดียวกับเธอทำกับผม

เรือนไม้สีเบจ : ว.วินิจฉัยกุล
  • พิมพ์เป็นตอนๆ ในนิตยสารหญิงไทย พ.ศ. 2543 - 2544
  • พิมพ์รวมเล่มครั้งแรก กรกฎาคม 2544
  • ภาพประกอบในเรื่องคือฉบับพิมพ์ครั้งที่ 7 เดือนธันวาคม 2550
  • จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ทรีบีส์
  • ภาพปก-ออกแบบ : เกริกบุระ ยมนาค
  • ราคาปก 325 บาท
  • จำนวน 404 หน้า

โปรยปกหลังฉบับสำนักพิมพ์อรุณ พิมพ์ครั้งที่ 9 ปี 2564

เรือนไม้สีเบจ

          เริ่มอย่างนี้ดีกว่า ถึงความรู้สึกแรกที่มุกเห็นเรือนไม้สีเบจ!
          มุกร้องออกมาอย่างลืมตัว
          "อุ๊ย! บ้านของพี่อาร์มเหมือนบ้านใน…"
          "บ้านในสลัมรึเปล่า"
          พี่อาร์มยิ้มเมื่อถาม แต่น้ำเสียงไม่มีแววหัวเราะ จะด้วยอะไรก็ตาม
          มุกสงสัยว่าคงจะมีใครสักคนทำให้พี่อาร์มรู้สึกเช่นนี้
          "แหม! พูดได้ไงคะ บ้านพี่อาร์มน่ารักจัง มุกนึกคำเปรียบไม่ออกตะหาก"
          มุกพยายามนึก
          "ไม่เหมือนในบัตรคริสต์มาส มันไม่ใช่กระท่อมแบบฝรั่งนี่คะ
          นึกออกแล้ว…เหมือนในละครย้อนยุคน่ะเอง"
          มันเป็นบ้านชนิดที่เราเจอในรูปถ่ายเก่าๆสมัยคุณย่ายังสาว
          คือเป็นบ้านไม้สองชั้นหลังกะทัดรัด รูปทรงสูงชะลูดกว่าบ้านสมัยใหม่
          ตัวไม้ฝาบ้านตีเกยซ้อนกัน มองดูคล้ายๆ กับบ้านนั้นจีบพลีตตามขวางเป็นเกล็ดใหญ่สลับเกล็ดเล็ก
          หลังคาสูงแบบปั้นหยามุงด้วยกระเบื้องสี่เหลี่ยม ตัวบานหน้าต่างเป็นบานเกล็ดไม้ 
          ชั้นล่างปิดสนิท ส่วนชั้นบนมีหน้าต่างกระจกสีชาอ่อนปิดอยู่อีกทีหนึ่ง
          ตัวบ้านทาสีเนื้อ แบบบ้านรุ่นเก่าที่มักเล่นสีสัน ไม่ใช่บ้านสมัยใหม่ทาสีขาวเห็นกันดาษดื่นหมดทุกหมู่บ้าน
เรือนไม้สีเบจ : ว.วินิจฉัยกุล
  • พิมพ์ครั้งที่ 9 โดยสำนักพิมพ์อรุณ พ.ศ. 2564
  • จำนวน 438 หน้า ราคาปก 445 บาท
Kapook Creator เป็นเนื้อหาที่นำเสนอโดยผู้สร้างสรรค์ที่เข้าร่วมโครงการ หากพบเนื้อหาที่ท่านเห็นว่าไม่ถูกต้องตามกติกา สามารถคลิกแจ้งปัญหาได้ที่นี่
เรื่องอื่นๆของ Books and My Quotes
Advertisements
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
รีวิวหนังสือเรือนไม้สีเบจ นวนิยายรักจากปลายปากกาของ ว.วินิจฉัยกุล อัปเดตล่าสุด 6 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 14:09:54 1,620 อ่าน
TOP